นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัททบทวนแผนการลงทุนใหม่ หลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และวางเป้าลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานในปีนี้ลง 1 พันล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 2 มิ.ย.เพื่อพิจารณาออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 5 ปี (ปี 63-67) เพื่อรักษาระดับกระแสเงินสดเพิ่มเติม
สำหรับการทบทวนโครงการลงทุนนั้น ได้เลื่อนลงทุนโครงการที่ยังไม่จำเป็นออกไปก่อน โดยเฉพาะโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 3/63 ก็คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 64 โดยโครงการมีเวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี หรือก่อสร้างเสร็จในปี 68 ดังนั้น จึงมีเวลาที่จะเจรจาต่อรองกับผู้รับเหมาโครงการเพื่อให้ได้ต้นทุนถูกที่สุดต่อไป
ส่วนแผนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มเติมอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้เดิมมีโครงการที่ศึกษาความเป็นไปได้ชัดเจนแล้วประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ก็จะต้องนำมาทบทวนใหม่ ส่วนโครงการที่ลงทุนไปแล้วใน EEC จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) ,โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในครึ่งหลังปีนี้ โดยปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วประมาณ 91-92%
นอกจากนี้บริษัทยังได้ปรับลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานในปีนี้ลง 1 พันล้านบาท โดยจะปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น รวมถึงจะยังไม่เปิดรับพนักงานเพื่อทดแทนพนักงานที่เกษียณอายุ และปรับเปลี่ยนพนักงานให้ไปทำหน้าที่อื่น แต่ไม่มีการเลิกจ้างพนักงานแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันบริษัทก็เตรียมจะหาแหล่งเงินเพิ่มเติมเพื่อรักษาระดับกระแสเงินสด จากปัจจุบันมีกระแสเงินสด 2.3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 1.5 หมื่นล้านบาทเมื่อเดือนเม.ย. และมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงินอีก 3 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมที่จะเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 2 มิ.ย. เพื่อออกหุ้นกู้ไม่เกิน 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 5 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องรองรับการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.3 เท่า ยังมีความสามารถในการกู้ได้อีกมาก
นายคงกระพัน กล่าวด้วยว่า ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/63 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่จะฟื้นตัวขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ที่ยอดขายปรับตัวลงแรงจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ยังคงยอดขายทั้งปีนี้จะเติบโตได้ในระดับ 7-10% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งไม่มีการปิดซ่อมบำรุงมากเหมือนปีก่อน
นอกจากนี้คาดว่าค่าการกลั่น (GRM) น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากในช่วงไตรมาส 2/63 โรงกลั่น PTTGC ไม่มีการผลิตน้ำมันอากาศยาน ที่มีความต้องใช้ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 พร้อมกับหันมาผลิตน้ำมันดีเซล น้ำมันเตา และแนฟทาแทน ทำให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่มาร์จิ้นของธุรกิจโอเลฟินส์ก็ไม่ได้แย่ลง ทำให้คาดว่ามาร์จิ้นรวมของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในไตรมาส 2/63 น่าจะดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน