นายนิพนธ์ บุญเดชานัทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) กล่าวว่า บริษัทเซ็นสัญญากับบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ในการติดตั้งแผง Solar rooftop บนหลังคาโรงงานฮอนด้าจำนวน 2 โครงการ รวมทั้งสิ้น 5 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเซ็นสัญญากับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เพื่อติดตั้งและการบริการแบบครบวงจรในโครงการ Solar Rooftop ให้ครบ 50 เมกะวัตต์ในปี 63 และเพิ่มเป็น 100 เมกะวัตต์ ในปี 65
สำหรับการติดตั้ง Solar Rooftop บนหลังคาโรงงานของฮอนด้า ประกอบด้วย โรงงานฮอนด้า สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ขนาดติดตั้ง 2.5 เมกะวัตต์ เพื่อนำกระแสไฟฟ้าไปใช้ในกระบวนการผลิตของโรงงาน รวมถึงโรงบำบัดน้ำเสีย และโรงงานฮอนด้า นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.ปราจีนบุรี ขนาดติดตั้ง 2.5 เมกะวัตต์ เพื่อนำกระแสไฟฟ้าไปใช้ในกระบวนการผลิตของโรงงาน ซึ่งการติดตั้งแผง Solar Rooftop ดังกล่าว จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Offset) ให้กับโรงงานฮอนด้าตลอดอายุการใช้งานของระบบได้กว่า 1 แสนตัน โดยได้เริ่มติดตั้งในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทมีมาตรฐานอย่างสูงในด้านวิศวกรรมและความปลอดภัย รวมถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในโครงการ Solar Rooftop จาก Track record หลายโครงการ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทได้เซ็นสัญญากับลูกค้าเพื่อติดตั้งโครงการ Solar Rooftop ไปแล้ว 43 ราย แบ่งเป็นลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและ Logistics Park ของดับบลิวเอชเอ จำนวน 29 ราย และนอกนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 14 ราย นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มลูกค้าอีกกว่า 80 ราย ที่ให้ความสนใจในการติดตั้ง Solar Rooftop ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อดำเนินการติดตั้ง เบื้องต้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาโซลูชั่นพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการ Solar Rooftop ซึ่งล่าสุดได้มีการลงนามความร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนานวัตกรรมพลังงานด้านต่าง ๆ อาทิ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะในพื้นที่อุตสาหกรรม (Smart / Microgrid) โครงสร้างตลาดไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) โครงสร้างอัตราค่าบริการรูปแบบใหม่ (Net Metering) ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของ ดับบลิวเอชเอ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ซึ่งตามแผนการขยายธุรกิจที่วางไว้จะส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นในปีนี้ อยู่ที่ 591 เมกะวัตต์