นายสุรนาถ กิตติรัตนเดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) เปิดเผยว่า บริษัทยังมั่นใจเป้าหมายรายได้ในปี 63 ยังเติบโต 10-12% จากปีก่อน หลังภาพของผลกระทบจากโควิด-19 เริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมาก จากภาพรวมของธุรกิจอาหารที่ยังมีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจ QSR (Quick Serve Restaurant) ที่มีการเปิดเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19 ระบาด โดยเป็นรูปแบบที่ไม่มีหน้าร้านส่วนใหญ่ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้วัตถุดิบเครื่องปรุงรสและซอสต่างๆเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อยอดขายวัตถุดิบเครื่องปรุงรสและซอสของบริษัทเติบโตขึ้น
ขณะเดียวกันในส่วนของกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการรายกลางและรายใหญ่ได้มีการปรับตัวในการรักษากลิ่นและรสชาติของอาหารให้ได้นานมากขึ้น เพราะในช่วงโควิด-19 มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ มีการปิดสถานประกอบการต่างๆ และการทำงานที่บ้าน ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาเน้นการให้บริการเดลิเวอร์รี่มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช่กลุ่มสินค้าวัตถุแต่งกลิ่นและรสชาติอาหารที่สามารถเก็บรักษาได้นานมากขึ้นได้รับความนิยมมากขึ้น โดยบริษัทได้มีการพัฒนาขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้
นอกจากนี้กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นน้ำหอมยังมียอดออเดอร์ที่เข้ามามากขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากมีการผลิตสบู่และเจลแอลกอฮอลล์ฆ่าเชื้อเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผู้ผลิตมีความจำเป็นต้องใช้ส่วนผสมที่เป็นน้ำหอมมาใส่ในผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้ผลิตสบู่และเจลแอลกอฮอลล์ฆ่าเชื้อออเดอร์ส่วนผสมน้ำหอมเข้ามาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับผู้ผลิตน้ำหอมในภูมิภาคมีการสั่งซื้อส่วนผสมน้ำหอมของบริษัทเข้ามาใช้แทนส่วนผสมน้ำหอมของผู้ผลิตในยุโรป เนื่องจากโรงงานผลิตน้ำหอมในยุโรปปิดในช่วงโควิด-19
โดยปัจจัยหนุนข้างต้นคาดว่าจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มของผลการดำเนินงานในปี 63 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย และคาดว่าจะช่วยหนุนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ให้เติบโตขึ้นอีกด้วย โดยในช่วงไตรมาส 1/63 รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 43.19% จากสิ้นปี 62 ที่ 37.19%
อย่างไรก็ตามโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในบางส่วน โดยเฉพาะในส่วนของโรงงานในประเทศเวียดนามที่ยังไม่สามารถเปิดได้ แม้ว่าในปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ในเวียดนามจะคลี่คลายลงแล้ว แต่บริษัทยังไม่สามารถส่งทีมวิศวกรเข้าไปในโรงงานเวียดนามได้ เพราะไทยและเวียดนายังคงมีการปิดน่านฟ้าการบินระหว่างประเทศ รวมถึงโรงงานในอินโดนีเซียที่ปิดไปก่อนหน้านี้ และเตรียมที่จะกลับมาเปิดอีกครั้งในเร็วๆนี้ แต่มองว่าไม่กระทบต่อภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัท เพราะบริษัทยังสามารถยังส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียทดแทนการผลิตในประเทศอินโดนีเซีย
ส่วนโรงแรมของบริษัททั้ง 2 แห่ง คือ โรงแรม IBIS Style เชียงใหม่ และโรงแรม Novotel ชุมพร Beach and Golf ปัจจุบันยังปิดการให้บริการอยู่ตามคำสั่งปิดสถานประกอบการของจังหวัดเชียงใหม่และชุมพร ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สามารถช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ เพราะหากยังเปิดให้บริการอยู่แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพัก จะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง และผลกระทบของการปิดบริการชั่วคราวของทั้ง 2 โรงแรม ไม่มีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบเพียง 2-3% ของรายได้รวมเท่านั้น
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส1/63 บริษัทกำไรสุทธิอยู่ที่ 147.34 ล้านบาท เติบโต 68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 87.70 ล้านบาท เนื่องจากการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าหลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าวัตถุแต่งกลิ่น และสีผสมอาหารและกลุ่มแป้งและซอสหลังจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศทั้งสองกลุ่มผลิตภัณฑ์
อีกทั้งบริษัทมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจอยู่ที่ 807.69 ล้านบาท เติบโต 12.59% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจอยู่ที่ 717.36 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 789 ล้านบาท เติบโต 14.41% จากช่วงเดียวของปีก่อนมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 689.65 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายสินค้าเติบโตจำนวน 99.35 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้น จำนวน 91.76 ล้านบาท และยอดขายต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจำนวน 7.59 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาพฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนไป "New Normal" เพื่อเตรียมศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทในอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมกับกระแสของโลกที่กำลังเปลี่ยนสำหรับการสร้างผลดำเนินงานในอนาคตให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง