บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) หรือ ซีพีเอฟ เสนอขายหุ้นกู้ รวมมูลค่าไม่เกิน 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 6 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 4 ปี เสนอขายไม่เกิน 10,000 ล้านบาท มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 7 ปี เสนอขายไม่เกิน 8,000 ล้านบาทมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% โดย 2 รุ่นนี้เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป
หุ้นกู้ชุดที่ 3 เสนอขายไม่เกิน 5,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี เสนอขายไม่เกิน 4,000 ล้านบาท มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% หุ้นกู้ชุดที่ 5 เสนอขายไม่เกิน 2,000 ล้านบาท อายุ 12 ปี มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.75% และหุ้นกู้ชุดที่ 6 เสนอขายไม่เกิน 4,000 ล้านบาท อายุ 15 ปี มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% โดยหุ้นกู้ชุดที่ 3 -6 เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่
โดยหุ้นกู้ทุกรุ่น กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เสนอขายระหว่างวันที่ 1-2 และ 4 มิถุนายนนี้
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนทั่วไป สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองซื้อหุ้นกู้ "ซีพีเอฟ" ได้ที่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองซื้อหุ้นกู้ได้ที่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท
การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากหุ้นกู้ของ "ซีพีเอฟ" ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ A+ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งสะท้อนสถานะความเป็นผู้นำของบริษัท ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ตลอดจนการมีฐานการผลิตในหลายประเทศ รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ลงทุนที่แสวงหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ท่ามกลางภาวะการลงทุนที่มีความไม่แน่นอน และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการออกหุ้นกู้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 และมีการจำหน่ายหุ้นกู้มาแล้วมากกว่า 40 รุ่น ซึ่งไม่เคยมีปัญหาในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย
กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของซีพีเอฟให้ความสำคัญในการขยายธุรกิจแบบครบวงจรและกระจายความเสี่ยง จึงมีกิจการครอบคลุมทั้ง สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ด กุ้ง และปลา โดยธุรกิจหลัก 3 ประเภท คือ 1. ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) 2. ธุรกิจผลผลิตจากการเลี้ยงสัตว์และแปรรูปเนื้อสัตว์ (Farm and Processing) ได้แก่ พันธุ์สัตว์ สัตว์เพื่อการค้า และเนื้อสัตว์แปรรูปขั้นพื้นฐาน และ 3. ธุรกิจอาหาร (Food) ได้แก่ เนื้อสัตว์แปรรูปกึ่งปรุงสุกและปรุงสุก และสินค้าอาหารพร้อมรับประทานภายใต้ตราสินค้า CP และตราสินค้าของลูกค้า รวมทั้งประกอบกิจการค้าปลีกและร้านอาหาร เช่น CP Freshmart กิจการห้าดาว และร้าน Chester’s ดังนั้นภาพรวมธุรกิจของซีพีเอฟจึงถือเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของการดำรงชีวิตซึ่งมีความสำคัญ ไม่ว่าจะในมุมของการเป็นผู้ผลิตอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของคนไทย หรือการเป็นผู้สร้างงาน
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 6,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายและอัตรากำไร โดยรายได้จากการขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 มีจำนวน 138,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากรายได้จากการขายของกิจการในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 12% และกิจการในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 6% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของธุรกิจการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม
ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 18% ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 14% โดยมีปัจจัยหลักมาจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจสุกรที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากโรคระบาด ASF (African Swine Fever) ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ส่งผลให้ปริมาณสุกรในประเทศเวียดนามลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ราคาขายเฉลี่ยในประเทศเวียดนามปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน