นายวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.อาร์เอส (RS) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดรายได้ปี 63 จะเติบโตแตะ 4,250 ล้านบาท จากระดับ 3,611 ล้านบาทในปีก่อน โดยจะมาจากธุรกิจพาณิชย์ จำนวน 2,600 ล้านบาท และธุรกิจสื่อ & เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำนวน 1,650 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้แบ่งออกเป็น ทีวีดิจิทัลช่อง 8 จำนวน 1,080 ล้านบาท, วิทยุ 200 ล้านบาท, เพลง 250 ล้านบาท และคอนเสิร์ต & อีเว้นท์ 120 ล้านบาท
ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะเติบโตเป็น 50% จากปีก่อนอยู่ที่ 44% และอัตรากำไรสุทธิจะเติบโตเป็น 13-15% จากปีก่อนอยู่ที่ 10% จากการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น และมีรายได้ส่วนเพิ่มจากต้นทุนต่ำ
ทั้งนี้ กลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทได้วางไว้ 5 ด้าน ได้แก่ องค์กรที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล, การขยายช่องทางการขาย และแพลตฟอร์มต่างๆ, กลยุทธ์การสร้างผลิตภัณฑ์และความร่วมมือต่างๆ, กลยุทธ์เก้าอี้ 4 ขา และการบริหาร Asset & Back Catalogue
อย่างไรก็ตามกลยุทธ์ดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้โมเดล Entertainmerce Integration หรือการผนึกกำลังกันภายในกลุ่มธุรกิจ ทั้งในส่วนของแพลตฟอร์มการขายสินค้า RS Mall , LifeStar บริษัทผู้ผลิตสินค้าภายใต้ RS, ช่อง 8 และ COOLISM หรือธุรกิจวิทยุ โดยวางกลยุทธ์ไว้ 4 ด้าน ได้แก่ 1.การขยายช่องทางการขายไปในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ ซึ่งในไตรมาส 1/63 บริษัทฯ ได้ร่วมกับช่องอัมรินทร์ทีวีขยายการขายสินค้าไปในช่องทางอื่นๆ และไตรมาส 2/63 จะเน้นการพัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น ประกอบกับช่อง 8 เองก็จะมีการทำ Entertainmerce Program ส่วนในครึ่งปีหลังนี้จะขยายช่องทางการขายสินค้าไปยังร้านค้าปลีก, E-Commerce และทำสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้ค้าส่งมากขึ้น รวมถึงการกระจายสินค้าไปยังร้านค้าต่างๆ ใน King Power Shop
2.การพัฒนาเทเลมาร์เก็ตติ้ง บริษัทฯ จะเพิ่มคอลเซ็นเตอร์เป็น 400 คน จากปีก่อนมีจำนวน 345 คน เพื่อขายสินค้าและปิดการขายได้รวดเร็วขึ้น และการนำเทคโนโลยี Saleforce เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค เพื่อนำกลับมาปรับปรุงในเรื่องของสินค้า และการทำการตลาด
3.การพัฒนาและจัดหาผลิตภัณฑ์ โดยจะเน้นผลิตภัณฑ์สุขภาพ และความงาม, ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน, ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ, เครื่องสำอาง รวมถึงหากในไตรมาส 4/63 การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้น RS จะร่วมกับเอเจ้นท์ นำในเรื่องของท่องเที่ยวและบริการเข้ามาขายบนหน้าจอทีวีด้วย
4.การตลาดและแคมเปญต่าง ๆ ในปีนี้บริษัทฯ จะมีการจัดโปรโมชั่นและแคมเปญตลอดทั้งปี จากปีก่อนที่มีการทำโปรโมชั่นใหญ่อยู่ 2 ช่วง คือ กลางปีและปลายปีเท่านั้น
สำหรับการขยายช่องทางออนไลน์ บริษัทฯ ได้นำแอพพลิเคชั่น COOLism ขยายไปสู่ COOLanything ฟังเพลงได้ ช็อปเพลิน ในแอพฯเดียว คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้
พร้อมกันนี้กลยุทธ์เก้าอี้ 4 ขา เป็นกลยุทธ์ของทางช่อง 8 เพื่อขยายฐานรายได้ และกระจายความเสี่ยง แบ่งเป็น การขายมีเดีย 50%, การขายสินค้าของ RS Mall ผ่านรายการต่างๆของช่อง 20%, การจัดกิจกรรมอีเว้นท์ 5% และการขายลิขสิทธิคอนเทนท์ไปในออนไลน์ และพันธมิตรในประเทศ-ต่างประเทศ 25% อย่างไรก็ตามการบริหาร Asset & Back Catalogue ของทางช่อง 8 จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ เพื่อสอดรับกับเทรนด์ดิจิทัล โดยการขายลิขสิทธิไปยังต่างประเทศ และขยายสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ
นายวิทวัส กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 มองว่าธุรกิจสื่อและเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาลดลง แต่ภาพรวมของธุรกิจพาณิชย์จะเติบโตเพิ่มขึ้น หลังจากผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น เพิ่มโอกาสการเห็นสินค้าจากที่บริษัทนำเสนอ แม้ว่าผู้บริโภคจะระมัดระวังค่าใช้จ่าย แต่บริษัทยังมีกลยุทธ์ต่างๆ ทั้งช่องทางการจัดจำหน่าย การนำเสนอสินค้าใหม่ รวมถึงการพัฒนาแคมเปญการส่งเสริมการขาย เช่น ช่วงปลายพ.ค.63 จะเปิดตัวช่องทางออนไลน์ Cool Anything จากผู้ฟังเป็นลูกค้า เนื่องจากกลุ่มลูกค้าวิทยุมีผู้ฟังกว่า 2 ล้านรายต่อเดือน, การรุกช่องทาง RS mall ผ่านช่องทีวีดิจิทัลอื่นๆ และช่องทางออนไลน์ โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.4 ล้านราย
ขณะที่มองผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากธุรกิจพาณิชย์ที่เติบโตต่อเนื่อง, ธุรกิจสื่อโทรทัศน์จะฟื้นตัวดีขึ้น จากกลยุทธ์การใช้ประโยชน์เรื่องสร้างโอกาสใหม่ เพื่อให้สอดกับเทรนด์ดิจิทัล 5G ซึ่งคาดว่าจะเกิดกลุ่มผู้ประกอบการรายใหม่นำสื่อของบริษัททั้งภาพยนตร์ และละครไปฉายในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ คาดว่าจะช่วยเสริมรายได้กว่า 100 ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 2/63 ไปจนถึงสิ้นปีนี้ รวมถึงธุรกิจวิทยุ เพลง คอนเสิร์ตและอีเว้นท์ต่างๆ จะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการทำกิจกรรมต่างๆ โดยบริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินจัดคอนเสิร์ตในช่วงไตรมาส 4/63 ได้จำนวน 2 คอนเสิร์ต
ด้านการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าอาจเห็นอย่างน้อย 1 ดีลในปีนี้ หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง