นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) กล่าวว่า บริษัทฯปรับการลงทุนและพัฒนาธุรกิจที่หลากหลาย (Diversified Businesses) มาอย่างต่อเนื่อง โดยผลประกอบการในไตรมาส 1/63 ยังไม่รับรู้ถึงผลกระทบจากการปิดศูนย์การค้าในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 1/63 ของซีพีเอ็น มีรายได้รวม 11,423 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4,592 ล้านบาท โดยหลักมาจากรายได้ที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำ และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น หากไม่รวมรายการที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำ บริษัทฯ มีรายได้รวมลดลง 0.5% และกำไรสุทธิลดลง 8.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อีกทั้งในช่วงที่ศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามประกาศภาครัฐ บริษัทยังได้ช่วยแบ่งเบาภาระของร้านค้า โดยการยกเว้นค่าเช่าให้ร้านค้าที่ไม่สามารถดำเนินการได้ รวมถึงปรับลดค่าเช่า 10-50% ตามผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลให้รายได้ที่เกิดขึ้นจากการเช่าและบริการของศูนย์การค้าลดลงประมาณ 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลกระทบที่ได้รับจากการล็อกดาวน์จะรับรู้ตัวเลขได้ในไตรมาสที่ 2 ต่อไป
ด้านการดำเนินแผนธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศูนย์การค้าภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ทุกสาขาให้เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตวิถีใหม่หรือ ‘Center of NOW Normal Life’ เพื่อเป็นสถานที่ที่สะอาดและปลอดภัยสูงสุด ที่ลูกค้าทุกคนมั่นใจมาใช้บริการและใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการบริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายทุกด้าน และปรับแผนงานโครงการใหม่ให้เหมาะสม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อบริษัทฯ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อม และเตรียมแผนธุรกิจสำหรับการกลับมาให้บริการหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง เพื่อให้มั่นใจในการเติบโตที่ต่อเนื่องของบริษัทฯ และเพื่อรักษาผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่
สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 63-67) บริษัทฯ จะมีการปรับแผนการลงทุน และแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า เพื่อเตรียมความพร้อม และรักษาสถานะทางการเงิน และสภาพคล่องให้รองรับการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจากโควิด-19 รวมทั้งศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจใหม่ในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ในระหว่างที่เกิดวิกฤติโควิด-19 ซีพีเอ็น ได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐตามนโยบายจำกัดพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยได้ปิดศูนย์การค้าชั่วคราวทั้ง 33 แห่งในประเทศไทย และ 1 แห่งในประเทศมาเลเซีย รวม 34 แห่ง โดยมีระยะเวลาการปิดศูนย์ฯที่แตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ เริ่มทยอยปิดศูนย์ฯ ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 16 พฤษภาคม 2563 โดยยังคงเปิดให้บริการในส่วนที่จำเป็นแก่ลูกค้า รวมทั้งปิดให้บริการโรงแรมทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นทารา อุดรธานี และ ฮิลตัน พัทยา ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 จากสถานการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และรัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์จำกัดการเดินทางภายในประเทศ
บริษัทฯ ปัจจุบัน CPN บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 7 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 12 โครงการ โดยมี 9 โครงการที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับศูนย์การค้า ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมและทาว์นโฮมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE และ ESCENT TOWN นอกจากนี้ CPN เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ตามแผนระยะยาวที่วางไว้ โดยโครงการมิกซ์ยูสที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา (กำหนดเปิดปี 2564) เซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา (กำหนดเปิดปี 2564) เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี (กำหนดเปิดปี 2565) และโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบม.ดุสิตธานี (DTC) บนทำเลทอง "ซุปเปอร์คอร์ ซีบีดี" ในกรุงเทพฯ โดยจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงาน ภายใต้วิสัยทัศน์ "Center of NOW Normal Life" ศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ใส่ใจเรื่องความสะอาด ปลอดภัยสูงสุด เป็นสถานที่ที่ผู้คนยังสามารถมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย พร้อมตอบรับไลฟ์สไตล์ยุค New Normal ได้อย่างสมบูรณ์