นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดรายได้ในไตรมาส 2/63 น่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/63 ที่ทำได้ 460.66 ล้านบาท เนื่องจากมีการรับรู้รายได้การให้บริการโครงข่ายของโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล (USO Phase 2) เข้ามาต่อเนื่อง และงานการให้บริการติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม (Installation) ที่จะมีการรับรู้รายได้มากขึ้นตามจำนวนงานที่เพิ่มขึ้น
"เรามีความตั้งใจที่จะเห็นการเติบโตของบริษัทฯ สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 เพราะว่าจะมีงาน USO หรืองานต่างๆ เข้ามารับรู้มากขึ้น โดยเฉพาะงานติดตั้งอย่างเดียวก็น่าจะรับรู้มากกว่าปีที่แล้วได้" นายณัฐนัย กล่าว
นายณัฐนัย กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตเป็นไม่ต่ำกว่า 2.4 พันล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก จากปัจจุบันอยู่ที่ 8.7% โดยจะพยายามผลักดันการเซ็นสัญญางานใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งทั้งปีตั้งเป้าไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/63 มีการเซ็นสัญญาไปแล้วจำนวน 330 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญากับลูกค้า มูลค่าราว 200-300 ล้านบาท ในช่วงปลายเดือนพ.ค.-มิ.ย.63
อีกทั้งในช่วงครึ่งหลังปีนี้บริษัทฯ ก็ตั้งเป้าที่จะมีสัญญาใหม่ๆ เข้ามาอีกประมาณ 800-900 ล้านบาท ซึ่งยังคงติดตามงานโครงการใหญ่ๆ ของทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงโครงการการศึกษาออนไลน์ ที่น่าจะมีบทบาทมากขึ้นในปีนี้
โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาโซลูชั่นให้บริการการศึกษาผ่านทางไกลเพื่อรองรับเทรนด์การเรียนการสอนออนไลน์ โดยจะอาศัยศูนย์บริการ USO NET ของบริษัทฯ ที่อยู่ตามพื้นที่ห่างไกลและมีระบบอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้พร้อมรองรับนักเรียนที่จะมาใช้บริการและรวมถึงประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง คาดว่าโซลูชั่นดังกล่าว น่าจะชัดเจนในเดือนก.ค หรือส.ค.63 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการต่อยอดบริการจากสิ่งที่บริษัทฯ ได้มีอยู่ก่อนหน้าแล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุดและส่งเสริมการวางรากฐานสำหรับการเติบโตทางการศึกษาในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 4,378.23 ล้านบาท แบ่งเป็น งานการให้บริการโครงข่ายวงจรสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง (Data Service) จำนวน 3,260.85 ล้านบาท, การให้บริการติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม (Installation) จำนวน 1,069.20 ล้านบาท และการให้บริการพื้นที่ศูนย์ข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) จำนวน 48.18 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 1,200-1,300 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนหลักๆ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการลงทุนไปทั้งหมดแล้ว โดยการลงทุนในอนาคตจะเป็นไปตามการลงทุนของลูกค้า ส่วนการลงทุนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ Network ต่างๆ ยังคงมีประสิทธิภาพดีอยู่ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะลงทุนเพิ่มเติม
นายณัฐนัย กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิด และประเมินสถานการณ์ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะช่วยเหลือลูกค้าของบริษัทฯ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโครงข่ายทั้งเรื่องคุณภาพและระยะเวลาในการติดตั้ง ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย ให้รัดกุมมากขึ้น รวมถึงพัฒนาบุคลากรของบริษัทฯ ให้มีความพร้อม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการดำเนินงาน ซึ่งหากบริษัทฯ สามารถส่งมอบงานได้ตามแผน เชื่อว่าจะรักษาการเติบโตได้ตามเป้าหมาย