นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/63 คาดว่ายังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อภาคอุสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องจากไตรมาสแรก หลังสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ลูกค้าชาวไทยและต่างชาติชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป โดยเฉพาะในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ปิดการเดินทางเข้าและออกประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ ทำให้ไม่สามารถที่จะโอนโครงการให้ลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัท
ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 ยังคงได้รับแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นจากไตรมาสแรก เพราะเป็นช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบมากที่สุด ทำให้การขายและการโอนชะลอตัวลงมาก เห็นได้ตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมาที่มีการล็อกดาวน์เป็นระยะเวลา 1 เดือนครึ่ง แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บ้างแล้ว แต่ยังคงมีข้อจำกัดในการบริการ และกำลังซื้อยังชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งแรกปีนี้มีโอกาสขาดทุน หลังจากที่ไตรมาส 1/63 ขาดทุน 136.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทปรับแผนงานและเป้าหมายการดำเนินงานในปี 63 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือ 2.5-3 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 4 พันล้านบาท พร้อมกับการเลื่อนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม สุขุมวิท 38 มูลค่า 7.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นออกไปเป็นปี 64 เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะยังคงชะลอตัวอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้อาจจะยังไม่ใช่จังหวะที่ดีในการเปิดโครงการใหม่ แต่จะหันมาเน้นการระบายสต็อก และพยายามที่จะโอนโครงการให้กับลูกค้าได้เร็วมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้และกระแสเงินสดกลับมาให้กับบริษัท
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายสะสมอยู่ที่ 500 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 2 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายจากการระบายสต็อก ที่จะเร่งระบายสต็อก 5 โครงการพร้อมโอน ได้แก่ โครงการ The Lofts Asoke, โครงการ Diplomat 39, โครงการ Diplomat Sathorn,โครงการ The River และโครงการ Unixx เพื่อเพิ่มยอดขาย และช่วยเสริมสภาพคล่องกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งประเมินว่ายอดขายจะกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง จากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของภาครัฐฯ
ด้านมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ปัจจุบันอยู่ที่ 7.88 พันล้านบาท จาก 8 โครงการ ได้แก่ โครงการ Tait12 สัดส่วน 33%, โครงการ The Lofts Silom สัดส่วน 29.5%, โครงการ The Estelle Phrom Phong สัดส่วน 26.3%, โครงการ The Lofts Ratchathewi สัดส่วน 7.4%, โครงการ The Lofts Asoke สัดส่วน 1.6%, และโครงการอื่น ๆ สัดส่วน 2.2% โดยคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 63
นอกจากนี้บริษัทได้เตรียมความพร้อมด้านฐานะการเงิน และมีแผนรักษากระแสเงินสด ซึ่งบริษัทถือว่าเป็นผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สินในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยังคำนึงถึงการรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้แข็งแกร่ง เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายและลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ โดยกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทฟื้นตัวได้หลังวิกฤตินี้ผ่านพ้นไป และปัจจุบันกระแสเงินสดมีเพียงพอที่จะจ่ายคืนตราสารหนี้ (B/E) ที่ครบกำหนดในเดือนก.ค. 63 จำนวน 712 ล้านบาท และในเดือนธ.ค. 63 จำนวน 200 ล้านบาท โดยที่ไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เนื่องจากบริษัทมีวงเงินเบิกสินเชื่อจากสถาบันการเงินรองรับการไถ่ถอน B/E และหุ้นกู้ได้ครบ จำนวนเกือบ 1 พันล้านบาท
"ธุรกิจอสังหาฯปีนี้มีความท้าทาย ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งในการประคับประคองธุรกิจให้รอดพ้นจากวิกฤติได้ และมีภูมิคุ้มกันในการรับมือกับปัญหาที่ใหญ่กว่าในอนาคต ซึ่งบริษัทเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงหรือโอกาสของธุรกิจที่จะเกิดขึ้นหลังจากผ่านพ้นวิกฤตินี้ไป และปรับกลยุทธ์เน้นกระตุ้นความต้องการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในประเทศ เพื่อสร้างโอกาสในการขายแก่ลูกค้าในประเทศมากขึ้นในภาวะที่การเดินทางจากลูกค้าต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้"นายไลโอเนล กล่าว
ขณะที่งบลงทุนของบริษัทในปีนี้ที่ตั้งไว้ 1.8 พันล้านบาท ส่วนใหญ่ไว้รองรับการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม และโรงแรม Hotel KICTH ที่จะเปิดให้บริการในช่วงเดือนพ.ย. 63 แต่บริษัทยังมองถึงโอกาสในการเข้าซื้อโครงการคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานหรือโรงแรม ที่ผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถทำต่อได้ ซึ่งมองว่าในช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมีดีลจากผู้ประกอบการบางรายที่ไม่สามารถทำต่อได้เสนอขายออกมา และมองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม ทำให้สามารถเข้าลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต