นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับแผนงานและเป้าหมายในปีนี้ใหม่ หลังสิ้นไตรมาส 2/63 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และกระทบมาถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดการชะลอตัวมากขึ้น
สำหรับการเปิดโครงการใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ในช่วงต้นปีจะเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่ารวม 7.5 พันล้านบาท บริษัทอาจจะพิจาณาเลื่อนการเปิด 3 โครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นออกไปเป็นปี 64 ได้แก่ โครงการ ปิติ สมเด็จเจ้าพระยา และโครงการ นิชไพรด์ บางโพ ส่วนอีกโครงการเป็นโครงการที่บริษัทยังไม่เปิดเผยข้อมูล
ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1/63 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่แล้ว 3 โครงการ คือ โครงการ NICHE MONO อิสรภาพ ทำยอดขายได้แล้ว 44% โครงการ SENA KITH เพชรเกษม-พุทธมณฑล สาย 7 ทำยอดขายได้แล้ว 21% และโครงการ THE KITH รังสิต-ติวานนท์ ทำยอดขายได้แล้ว 14%
"การเลื่อนเปิดโครงการคอนโดใหม่ 2 โครงการที่มีการเปิดเผยข้อมูลแล้วนั้น จะพิจารณาแนวโน้มของสถานการณ์ของตลาดในช่วงครึ่งปีหลังอีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ยังมองว่าภาพของตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวขึ้นได้เร็ว เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ที่ลากยาวมาครึ่งปี แม้ว่าตอนนี้จะมีการผ่อนคลายมาตรการลงบ้าง แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่กลับมาชัดเจน ซึ่งภาคอสังหาฯก็จะล้อไปตามเศรษฐกิจ"นางสาวเกษรา กล่าว
นางสาวเกษรา กล่าวว่า หากบริษัทปรับลดการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ลง จะส่งผลมาถึงการปรับลดเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ระดับ 1.15 หมื่นล้านบาท เพราะโครงการที่อาจจะเลื่อนไปนั้นเป็นโครงการขนาดใหญ่ ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ยังกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่ชะลอตัวลงด้วย ทำให้ยอดขายในปีนี้อาจจะถูกแรงกดดันได้ค่อนข้างมากจากการชะลอการตัดสินใจซื้อ
ปัจจุบันบริษัทหันมาเน้นการขายสินค้าพร้อมโอนมากขึ้น ซึ่งได้เข้าไปแข่งขันราคากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่มีการปรับลดราคากันลงมา เพื่อทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และทำให้ระบายสต็อกออกไปได้เร็วมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการแข่งขันกันมาก ซึ่งบริษัทคาดหวังจะระบายสต็อกในปีนี้ออกไปได้กว่า 6 พันล้านบาท จากสต็อกที่มีอยู่รวม 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมกับการเพิ่มช่องทางขายออนไลน์เข้ามา ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อและจองได้อย่างรวดเร็ว
ด้านรายได้ของบริษัทที่ตั้งไว้ 1.06 หมื่นล้านบาทในปี 63 ยังอยู่การพิจารณาว่าจะปรับเป้าหมายลงหรือไม่ ซึ่งบริษัทมองว่าการโอนโครงการในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะชะลอตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่กระทบรายได้และความมั่งคั่งของลูกค้าให้ลดลง ก็อาจทำให้ลูกค้าที่ซื้อโครงการที่มีแผนการโอนในปีนี้อาจจะชะลอการโอนไปได้บ้าง
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ราว 6.44 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 1.18 หมื่นล้านบาท โดยจะมี 2 โครงการใหม่ที่โอนในช่วงครึ่งปีหลัง คือ โครงการ Niche Pride เตาปูน Interchange มูลค่า 3.35 หมื่นล้านบาท ซึ่งขายไปได้แล้วมูลค่า 2.58 หมื่นล้านบาท และโครงการ Niche Mono เจริญนคร มูลค่า 1.87 พันล้านบาท ขายไปได้แล้วมูลค่า 1.28 พันล้านบาท พร้อมกับมีโครงการที่โอนมาต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก คือ โครงการ Niche Mono สุขุมวิท-แบริ่ง มูลค่า 3.96 พันล้านบาท ซึ่งจะมีโอนในครึ่งปีหลัง 1.45 พันล้านบาท พร้อมกับมีรายได้จากการโอนที่เข้ามาจากการระบายสต็อกเข้ามาเสริม
สำหรับโครงการที่เป็นรายได้ประจำ (Recurring Income) ของบริษัทยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการเสนาเฟส และสนามกอล์ฟของบริษัทที่ถูกสั่งปิดตามมาตรการ แต่รายได้ดังกล่าวยังไม่ถือว่ามีสัดส่วนที่มาก ทำให้ไม่ส่งผลกดดันต่อภาพรวมของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 บริษัทคาดว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก และจะเป็นไตรมาสที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เข้ามาเต็มที่ อีกทั้งบริษัทไม่มีการเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 2/63 ทำให้ยอดขายอาจจะเห็นการชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ทำได้ 1.5 พันล้านบาท โดยที่บริษัทได้หันมาเร่งการระบายสต็อกแทน แต่คาดว่าการโอนในไตรมาสนี้จะยังไม่กลับมาดีมาก เพราะมีข้อจำกัดจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐที่ทำให้การโอนล่าช้าออกไป