นายนิติธร ดีอำไพ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-การเงิน บมจ.ช ทวี (CHO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยอมรับรายได้ปีนี้น่าจะปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเบื้องต้นคาดลดลงมาอยู่ที่ราว 800 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ รถบรรทุกสินค้า (Truck Bodies), รถกึ่งพ่วงบรรทุกสินค้า (Semi Trailer), รถพ่วง (Full Trailer) และการชะลอคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ออกแบบพิเศษ อย่างรถลำเลียงอาหารของสายการบิน เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มธุรกิจการประกอบรถบรรทุก ธุรกิจงานบริการซ่อมบำรุง และการบริหารโครงการ คาดว่าจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังสามารถรับรู้รายได้จากงานซ่อมบำรุง ทั้งการซ่อมบำรุงรถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) จำนวน 489 คัน ซึ่งเป็นสัญญาระยาว 10 ปี อีกทั้งยังมีธุรกิจดูแลบำรุงรักษารถโดยสารสาธารณะ London Taxi ซึ่งที่ผ่านมา บจ.เอเชีย แค็ป ก็ได้เริ่มให้บริการแล้ว และธุรกิจเช่ารถโดยสารรับส่งพนักงาน เครือเอสซีจี, ธุรกิจบริหารโครงการรถโดยสาร มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถือเป็นรายได้ประจำและเป็นสัญญาระยะยาว ส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังเตรียมเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงรถบรรทุก "สิบล้อ 24 ชม." อีก 1 แห่ง ในปี 63 ตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,293.15 ล้านบาท แบ่งเป็น งานในประเทศ 1,287.34 ล้านบาท และในต่างประเทศ 5.80 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 374.99 ล้านบาท แบ่งเป็น ในประเทศ 369.19 ล้านบาท และต่างประเทศ 5.80 ล้านบาท ส่วนอีก 918.15 ล้านบาท จะรับรู้ในปีถัดไป
นายนิติธร กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น รถขายกับข้าว หรือรถพุ่มพวง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้นำนวัตกรรม รถโมเดลใหม่ออกมานำเสนอ ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี โดยเฉพาะรถโมเดล "Smart พุ่มพวง" ที่บริษัทฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง (KKTT) จำกัด ออกแบบรถโมเดลดังกล่าวในโครงการ "รถพุ่มพวงขอนแก่น' เพื่อวิ่งนำส่งสินค้า อาหาร ส่งตรงถึงมือชาวบ้านในหมู่บ้าน ด้วยอาหารที่มีคุณภาพ สด ใหม่ทุกวัน โดยติดตามผ่าน แอพพลิเคชัน บนมือถือ รายการสินค้า ราคา เวลาให้บริการ สั่งสินค้านัดวันเวลา สถานที่ล่วงหน้าได้พร้อมชำระเงินด้วย QR Code ลดการแพร่ระบาด
ขณะเดียวกันก็มีรถประเภทฉีดฆ่าเชื้อ และรถฉีดพ่นกันฝุ่น PM2.5 ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างดี ซึ่งน่าจะช่วยให้ผลงานจากนี้ไปเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ถังขยะ อัจฉริยะ SMART Trash Can และรถบรรทุกไฟฟ้า อีกทั้งยังได้เข้าไปร่วมมือพัฒนาระบบบริการโครงการต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง จำนวน 6 ลำ ของกองทัพเรือฟิลิปปินส์ คาดว่าน่าจะส่งผลดีต่อบริษัทในระยะยาว
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมีแผนขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน 150 ไร่ และ 32 ไร่ ที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ ในปีนี้อีกด้วย
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/63 บริษัทฯ ก็ยอมรับว่ายังมีผลขาดทุนต่อเนื่องจากไตรมาส 1/63 ที่มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 41.44 ล้านบาท เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อลูกค้ากลุ่มธุรกิจครัวสายการบินชะลอคำสั่งซื้อรถลำเลียงอาหาร ซึ่งมองว่าน่าจะส่งผลกระทบไปจนถึงปลายปีนี้ และน่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้ในปี 64 รวมถึงยังกระทบกับคำสั่งซื้อรถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ของห้างค้าปลีก อย่าง เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี เป็นต้น ที่ชะลอการลงทุนออกไป
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพิ่มทุน เสนอขายนักลงทุนในวงจำกัด (PP) ให้กับพันธมิตรที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อร่วมกันเข้าประมูลโครงการรถโดยสาร บขส. แบบเช่า จำนวน 314 คัน มูลค่า 1,800 ล้านบาท และแบบซื้อ จำนวน 99 คัน มูลค่า 600 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเสนอเข้าบอร์ดได้ก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงกลางเดือนมิ.ย.63