นายธีรภัทร เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) คาดว่ารายได้ในปีนี้เติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งเป้าไว้เติบโต 10-15% หากทิศทางของกลุ่มลูกค้าทีวีดิจิทัลในปีนี้เป็นไปในทิศทางที่ดี
"ลูกค้ายังมีเข้ามาคุยต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มทีวีดิจิทัล ซึ่งมีลูกค้าใหม่ๆเข้ามาขอซื้อซีรี่ส์ของ JKN มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าปีนี้ JKN สามารถขายคอนเทนท์ได้มากขึ้น หากทิศทางดีแบบนี้ก็เป็นโอกาสที่เราจะลงทุนซื้อคอนเทนท์เข้ามาเพิ่มได้มากขึ้น และก็อาจจะทำให้รายได้เราดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งเรามี Backlog 280 ล้านบาท คิดว่าน่าจะรับรู้หมดในปีนี้ และก็มีรายได้จากลูกค้าบางรายที่ติดต่อเข้ามาแล้วซื้อทันทีด้วย"นายธีรภัทร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ อาจจะใช้งบลงทุนเพื่อซื้อคอนเทนท์เพิ่มไปถึง 1 พันล้านบาท จากที่ตั้งไว้เดิม 800 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/63 บริษัทได้ใช้งบซื้อคอนเทนท์ไปแล้ว 180 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทจะมาขายซีรี่ส์ของ JKN ให้กับกลุ่มลูกค้า VOD (video-on-demand) เพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อเป็นการขายที่ควบคู่ไปกับกลุ่มลูกค้าทีวีดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันผู้ชมมีการรับชมสื่อผ่านหลากหลายช่องทาง ทำให้บริษัทได้ผลบวกในโอกาสของการกระจายกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้น
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ คาดว่ายังเห็นทิศทางการเติบโตที่ดี หลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้มีการล็อกดาวน์ประเทศ ส่งผลให้คนอยู่บ้านมากขึ้น ซึ่งในช่วงหลังจากมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นทิศทางการชมรายการต่างๆในกลุ่มทีวีดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประชาชนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้มีเวลาดูทีวี ขณะเดียวกันกองถ่ายละครต่างๆไม่สามารออกกองได้ ส่งผลให้ช่องทีวีดิจิทัลติดต่อซื้อซีรี่ส์ของ JKN เข้ามามากขึ้น ซึ่งมีลูกค้าใหม่หลายรายเข้ามาติดต่อซื้อซีรี่ส์จากบริษัท ทำให้บริษัทสามารถมีลูกค้าใหม่ๆเข้ามาเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มในครึ่งปีหลัง หลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น บริษัทยังมองว่าทิศทางของผลการดำเนินงานยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทในปีนี้จะหันมาเน้นกลุ่มลูกค้าทีวีดิจิทัลเป็นหลัก หลังจากโควิด-19 ทำให้กลุ่มลูกค้าทีวีดิจิทัลมีความต้องการซื้อซีรี่ส์ของ JKN เพิ่มมากขึ้น เพราะสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงไม่มีการเดินทางมาก และใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าช่วงปกติ แม้ว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการ และลูกค้าที่ซื้อซีรี่ส์ของบริษัทไปแล้วมีความเชื่อมั่นในคุณภาพของซีรี่ส์ หลังจากเห็นเรตติ้งจากซีรี่ส์ที่ซื้อไป ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทในการขายคอนเทนท์ได้มากขึ้น
นายธีรภัทร กล่าวว่าการขายคอนเทนท์ให้กับลูกค้าในต่างประเทศปีนี้อาจจะมีผลกระทบของโควิด-19 เข้ามากระทบอยู่บ้าง ทำให้งานมหกรรมเกี่ยวกับการซื้อขายคอนเทนท์ต่างๆต้องเลื่อนออกไป ทำให้การติดต่อเสนอขายกับลูกค้าต่างชาติอาจจะติดขัดไปบ้าง แต่บริษัทมีสำนักงานที่สิงคโปร์เป็นตัวกลางในการซื้อขายคอนเทนท์กับลูกค้าต่างชาติในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/63 บริษัทมีลูกค้าจากมาเลเซีย และบรูไน เข้ามาซื้อคอนเทนท์ จากเดิมที่มีลูกค้าในประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่บริษัทขายคอนเทนท์ให้ และทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาที่ 32% จากเดิมที่ 30-31%
ด้านคอนเทนท์ที่บริษัทผลิตเองคาดว่าจะสามารถออนแอร์ได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/63 หรือต้นไตรมาส 4/63 ราว 3 เรื่อง ซึ่งเป็นซีรี่ส์เรื่องใหญ่ 1 เรื่อง และเรื่องเล็ก 2 เรื่อง เนื่องจากในช่วงโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ กองถ่ายไม่สามารถถ่ายทำได้ ทำให้การผลิตซีรี่ส์ของบริษัทเกิดความล่าช้า และหลังจากผ่อนคลายมาตรการแล้ว บริษัทจะเร่งถ่ายทำให้ทันออนแอร์ในช่วงปลายปีนี้ ทำให้บริษัทสามารถมีรายได้จากคอนเทนท์ที่ผลิตเองเข้ามาเสริม