นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวทางการบริหารที่ยืดหยุ่นในการจัดเก็บลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลรายใหญ่ของไทยไม่เกิน 180 วัน เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งเชื่อมั่นว่ากลุ่มลูกค้าเหล่านี้จะไม่เบี้ยวหนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
ส่วนการจัดเก็บลูกค้าในต่างประเทศนั้น ก็ได้มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เป็นผู้ดูแล โดยเริ่มจากการตรวจสอบฐานะทางการเงินของลูกค้าก่อนที่ JKN จะจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ให้ และหากเกิดกรณีการผิดชำระหนี้ตามระยะเวลาที่กำหนด ทาง EXIM BANK จะเข้ารับประกันในส่วนนี้โดยจะจ่ายเงินให้กับทาง JKN ตามมูลหนี้ที่มีการค้ำประกัน ทำให้บริษัทปิดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระของลูกค้าได้อย่างดี
"ปีนี้ธุรกิจของเราสดใสและเติบโตมากจากความต้องการคอนเทนต์ที่เพิ่มขึ้นในทุกช่องทาง ซึ่งเราได้เตรียมความพร้อมด้านการจัดส่งลิขสิทธิ์คอนเทนต์ให้แก่ลูกค้าไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้ JKN สามารถรับรู้รายได้ตามแผนที่ตั้งไว้ อีกทั้งยังมีการป้องกันความเสี่ยงการผิดชำระหนี้ของลูกค้าไว้อย่างรัดกุม เพื่อให้นักลงทุนสบายใจและพร้อมลงทุนระยะยาวในหุ้นของ JKN ที่จะเติบโตและก้าวสู่การเป็นหุ้น Growth Stock และสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องแน่นอน"นายจักรพงษ์ กล่าว
นายจักรพงษ์ กล่าวอีกว่า เป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ 2,000 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้ จากการเติบโตของอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างโดดเด่น จากความต้องการซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปออกอากาศผ่านทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง ทีวีดิจิทัล และแพลตฟอร์ม OTT เนื่องจาก JKN มีจุดแข็งสำคัญคือ การเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์คอนเทนต์แบบ Output Deal จากเจ้าของสิทธิ์ ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่หลากหลายรวม 8 กลุ่มคอนเทนต์จากซูเปอร์แบรนด์ระดับโลก ที่ครอบคลุมทุกสาระและความบันเทิง
นอกจากนี้ สถานการณ์โควิด-19 ยังเอื้อต่อตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในไทย โดยผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เช่น ช่อง 8 ช่อง 3 และช่องเวิร์คพอยท์ ให้ความสนใจติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกที่ผ่านมา และในไตรมาส 2 นี้ยังมีทีวีดิจิทัลรายใหม่ ๆ ติดต่อซื้อคอนเทนต์ เพื่อไปออกอากาศเพิ่มเติมอีกด้วย
สอดคล้องกับตลาดจำหน่ายคอนเทนต์ในต่างประเทศ ซึ่งปีนี้บริษัทได้วางเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 30% ของรายได้รวม ปัจจุบันก็สามารถปิดสัญญาการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์ละครไทยจากช่อง 3 ที่ JKN เป็นตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคนี้ได้เพิ่มเติม เช่น การจำหน่ายคอนเทนต์ เรื่อง Love Destiny หรือ บุพเพสันนิวาส ให้แก่บริษัท ‘มีเดีย คอร์ป’ สื่อทีวีดิจิทัลยักษ์ใหญ่ของประเทศสิงคโปร์เพื่ออากาศผ่านช่อง U และ meWATCH
รวมถึงปิดการขายกับ‘ติ่มซำ’ เป็นสื่อยักษ์ใหญ่ที่มีแพลตฟอร์ม OTT ทั้งในประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงค์โปร์ และประเทศบรูไน ได้อีก 5 เรื่อง รวม 180 ชั่วโมง จากเดิมที่เคยซื้อคอนเทนต์ละครไทยจาก JKN เพื่อนำไปออกอากาศมาแล้ว รวมความยาว 350 ชั่วโมง นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 50% ของรายได้ทั้งหมด เพื่อก้าวสู่การเป็น Global Company ในอนาคต