นายนิพนธ์ บุญเดชานันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า บริษัทลงนามสัญญาเพื่อติดตั้ง Solar System ให้กับบริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตยางรถยนต์ระดับโลกจากประเทศเยอรมนี ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จังหวัดระยอง ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 4.2 เมกะวัตต์ (MW) ภายใต้อายุสัญญาในการให้บริการ 15 ปี คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จ พร้อมทยอยรับรู้รายได้ภายในเดือน ก.พ.64 โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 16.3 ล้านบาท และเมื่อรวมภายใต้สัญญาการให้บริการทั้งสิ้น 15 ปี จะมีรายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 223 ล้านบาท
สำหรับการติดตั้ง Solar System ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ การติดตั้ง Solar บนหลังคาโรงงาน 2 อาคาร จำนวน 27,400 ตารางเมตร โดยอาคารแรก มีขนาดติดตั้ง 482 กิโลวัตต์ และอาคารที่ 2 มีขนาดติดตั้ง 2,275 กิโลวัตต์ และการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถ (Solar Carpark) พื้นที่ขนาด 8,400 ตารางเมตร มีขนาดติดตั้ง 958 กิโลวัตต์ และ Solar Floating บนพื้นที่บ่อน้ำ จำนวน 7,000 ตารางเมตร มีขนาดติดตั้ง 475 กิโลวัตต์
ทั้งนี้ ภายหลังการดำเนินการแล้วเสร็จ จะส่งผลให้ยอดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของ WHAUP เพิ่มขึ้นแตะระดับ 597 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งที่เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ไปแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งทั้งหมดจำนวน 47 เมกะวัตต์ โดยโครงการที่อยู่ระหว่างติดตั้ง 28 เมกะวัตต์ ตามแผนจะทยอยเปิดดำเนินการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาส 3/63 ถึงไตรมาส 1/64 ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการให้บริการ และความสนใจของกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งให้ความสนใจพลังงานที่เป็น Green Energy สามารถช่วยลดต้นทุน ประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
บริษัทนับว่าประสบความสำเร็จจากการให้บริการติดตั้งโครงการ Solar System แบบครบวงจร จากกลุ่มลูกค้าในและนอกนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านสาธารณูปโภคและพลังงานของบริษัทฯ รวมถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางธุรกิจ ยิ่งเป็นการตอกย้ำศักยภาพความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนให้เข้ามาขยายการลงทุนเพิ่มยิ่งขึ้น
ด้านนายวิกเนช เดวาเซนาพาที ผู้จัดการโรงงาน บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เหตุที่บริษัทติดตั้ง Solar System เนื่องจากมองว่าเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต ให้กับบริษัทได้มากถึง 360 ล้านบาท ภายในอายุการใช้งาน 25 ปี และยังเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Offset) ของโรงงานที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศตามนโยบายลดโลกร้อนจากภาวะเรือนกระจก