นายออง ทีฮา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนเอิร์ธ พาวเวอร์ ไทยแลนด์ จำกัด (GEP) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน ประกอบกิจการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ขนาด 220 เมกะวัตต์ (MW) ในเมียนมา ซึ่งจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว 50 เมกะวัตต์ และมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อระดมทุนรองรับขยายงานต่อไป โดยได้แต่งตั้งบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายวีรพัฒน์ เพชรคุปต์ กรรมการ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า GEP มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงิน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ให้มีความเหมาะสมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และอยู่ในระหว่างการเตรียมแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) เพื่อยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งในปี 64 เพื่อระดมทุนรองรับขยายงาน
"GEP เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี มีศักยภาพในการเติบโต ด้วยการดำเนินงานจากทีมผู้บริหารที่มีความรู้ ความเข้าใจ มีศักยภาพ และประสบการณ์ในด้านธุรกิจพลังงาน และมีการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจของบริษัท ให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สามารถแข่งขันได้ รองรับการขยายตัวของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก"นายวีรพัฒน์ กล่าว
GEP เป็นบริษัทร่วมทุน ระหว่างบมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) สัดส่วน 40% , บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด ในฐานะบริษัทย่อยของ บมจ. อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) ถือหุ้นสัดส่วน 20% , บมจ.เมตะ คอร์ปอเรชั่น (META) และ บริษัท Noble Planet PTE. Ltd. (NP) ถือหุ้นรวมกัน 40% โดย GEP ได้เริ่มกิจการผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ปี 54 ปัจจุบันบริษัทฯมีทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว 215.76 ล้านบาท
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 220 เมกะวัตต์ ณ เมืองมินบู ในเมียนมา ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อพัฒนาและดำเนินงานแบบ BOT (Built-Operate-Transfer) ระยะเวลาสัญญา 30 ปี ด้วยอัตรารับซื้อค่าไฟฟ้า 0.1275 เหรียญสหรัฐ/หน่วย แบ่งเป็นระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างทั้งหมด 4 เฟส โดย 3 เฟสแรกมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งเฟสละ 50 เมกะวัตต์ และเฟสสุดท้าย มีกำลังผลิตติดตั้ง 70 เมกะวัตต์ เมื่อมีการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วจะขายให้กับ Electric Power Generation Enterprise (EPGE) ภายใต้กระทรวงไฟฟ้าและพลังงาน รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
นายออง กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะเตรียมตัวสำหรับการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในขยายธุรกิจและเป็นเงินหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ตลอดจนพัฒนาระบบบริหารจัดการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จของพันธกิจที่ตั้งไว้คือ การเป็นผู้นำทางความคิดที่จะลดการปล่อยมลพิษเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ภาพรวมของอุตสาหกรรมพลังงาน มีความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ อาทิ เมียนมา โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีกำลังการผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 350,000,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง (KWh)/ปี รองรับการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 200,000 ครัวเรือน สอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น อีกทั้งการเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในเมียนมามีเพียงแค่ 50% ในช่วงปี 62 และตั้งเป้าการเข้าถึงไฟฟ้า 100% ภายในปี 73 ปัจจุบันโรงไฟฟ้าในเมียนมาผลิตไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์แล้ว จำนวน 5,642 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 4,940 เมกะวัตต์ ขณะที่รัฐบาลยังมีแผนการพัฒนาขยายสายส่งกระแสไฟฟ้าเพิ่มอีกรวมกว่า 5,302 ไมล์ทั่วประเทศเมียนมา
นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีแผนมุ่งพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูทั้ง 4 เฟสให้สำเร็จลุล่วง และพัฒนาโครงการพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนโครงการอื่น โดยมีเป้าหมายหลักเป็นประเทศเมียนมา ตลอดจนริเริ่มโครงการพลังงานหมุนเวียนที่ประเทศอื่นในภูมิภาคด้วย โดยผลการดำเนินงานของในไตรมาส 1/63 มีกำไรจากการจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เท่ากับ 88.58 ล้านบาท บริษัทเริ่มมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์สำหรับเฟสที่ 1 ขนาด 50 เมกะวัตต์นับตั้งแต่เดือนก.ย.62
ด้านนายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ SCN เปิดเผยว่า โครงการมีความมั่นคงสูง เนื่องจากสร้างมาจากพื้นฐานความต้องการการใช้ไฟฟ้าในประเทศอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เน้นภาพลักษณ์หรือเน้นด้านการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งยังถือเป็นการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนสามารถต่อยอดการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ ได้อีก สร้างโอกาสให้เกิดความมั่นคงด้านสาธารณูปโภค ที่มีนัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของประเทศเมียนมา โดยมั่นใจว่าโรงไฟฟ้ามินบูสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างดีให้กับบริษัท และผู้ถือหุ้นทุกราย รวมถึงผู้ที่กำลังจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ๆ อย่างแน่นอน