นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดปริมาณการขายถุงมือยางในไตรมาส 2/63 จะเติบโต 15-20% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 ที่มีปริมาณการขายอยู่ที่ 6,300 ล้านชิ้น จากเดินเครื่องกำลังการผลิตใหม่ในช่วงปลายเดือนมี.ค.63 ส่งผลทำให้กำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 33,000 ล้านชิ้น/ปี และน่าจะเพิ่มอัตราการเดินเครื่องจักรเป็น 94-95% ในไตรมาส 2 นี้ จากไตรมาสแรกอยู่ที่ 85-90% ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ผลักดันความต้องการใช้ถุงมือยางให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้คาดว่าในปี 63 ความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกจะเติบโตกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 300,000 ล้านชิ้น และเติบโตกว่าปกติ จากปกติมีการเติบโตในระดับ 10-12%
"การใช้ถุงมือยางราว 80% จะใช้ในทางการแพทย์เป็นหลัก และจากที่เกิดโควิด-19 ขึ้นทำให้ทุกคนหันมาดูแลในด้านสุขภาพ และควาดปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลทำให้ความต้องการใช้ถุงมือยางแพร่หลายมากขึ้น และน่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนการใช้ถุงมือยางในช่วงนี้และในอนาคต"นายวีรสิทธิ์ กล่าว
นายวีรสิทธิ์ กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการใช้ถุงมือยางในอนาคตยังมีการเติบโตได้อีกมาก ทั้งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เนื่องจากคาดว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (Healthcare spending) ในปี 67 จะสูงกว่าปัจจุบัน จากการที่มีคนชั้นกลางมากขึ้น จึงทำให้เกิดความต้องการเข้าถึง Healthcare มากขึ้น ปัจจุบันสหรัฐฯ มีการใช้ถุงมือยางอยู่ที่ 150 ชิ้น/คน/ปี, ยุโรปใช้อยู่ที่ 100 ชิ้น/คน/ปี ส่วนในจีน อินเดีย และแอฟริกา ยังมีปริมาณการใช้ถุงมือยางเป็นตัวเลขหลักสิบและหลักหน่วย ซึ่งยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก
ด้านธุรกิจยางธรรมชาติ คาดว่ากำไรในไตรมาส 2/63 น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/63 แต่ในแง่ของปริมาณการขายน่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องด้วยอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบหนัก ส่งผลทำให้การซื้อขายยางมีปริมาณลดลงไปบ้าง โดยไตรมาส 1/63 มีปริมาณการขายอยู่ที่ 304,721 ตัน ขณะเดียวกันก็คาดว่าปริมาณการบริโภคยางธรรมชาติทั่วโลกปีนี้ก็น่าจะปรับตัวลดลง จากเดิมที่อยู่ที่ 14 ล้านตัน จากผลกระทบโควิด-19 โดยกลยุทธ์ของบริษัทคือการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 25-30% ในปีนี้ จากปีก่อนที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 22%
สำหรับทั้งปีบริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณการขายถุงมือยางไว้ที่ 28,000-29,000 ล้านชิ้น จากปีก่อน 19,000 ล้านชิ้น โดยมียอดขายล่วงหน้าไปจนถึงกลางปีหน้าแล้ว และตั้งเป้าปริมาณการขายยางธรรมชาติไว้ที่ 1.2-1.3 ล้านตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน ขณะเดียวกันบริษัทก็มีการปรับราคาขายถุงมือยางขึ้นเฉลี่ย 10-15% ต่อไตรมาสอีกด้วย
พร้อมกันนี้บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนปีนี้ลงเหลือ 1,200 ล้านบาท จากเดิมที่วางไว้ที่ 1,600 ล้านบาท เพื่อชะลอการลงทุนไปเป็นช่วงปีหน้าแทน ซึ่งในส่วนที่ปรับลดลงจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจยางพาราทั้งหมด ส่วนธุรกิจถุงมือยางยังคงเดินหน้าเต็มที่ โดยบริษัทได้ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถุงมือยางในปี 67 เป็น 50,000 ล้านชิ้น/ปี, ในปี 71 ที่ 70,000 ล้านชิ้น/ปี และเพิ่มเป็น 100,000 ล้านชิ้น/ปี ภายในปี 75