บมจ.แสนสิริ (SIRI) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท ซึ่งเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดและมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ จำนวนไม่เกิน 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวนเสนอขายไม่เกิน 2,000 ล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าว กำหนดอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-5 คงที่ร้อยละ 8.50 ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยปีที่ 6-25 เท่ากับผลรวมของ (ก) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (ข) Initial Credit และ (ค) อัตราร้อยละ 0.25 ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยปีที่ 25-50 เท่ากับผลรวมของ (ก) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (ข) Initial Credit และ (ค) อัตราร้อยละ 1.00 ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 51 เท่ากับผลรวมของ (ก) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (ข) Initial Credit และ (ค) อัตราร้อยละ 2.00 ต่อปี
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุกๆ 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 5 ปี ณ สิ้นสุดวันทำการของสองวันทำการก่อนวันปรับอัตราดอกเบี้ย
โดยที่ Initial Credit Spred จะเท่ากับอัตราคงที่ร้อยละ 7.76 ต่อปี
บริษัทจะเสนอขายหุ้นกู้ในกรณีทั่วไปต่อผู้ลงทุนทั่วไป และ ผู้ลงทุนสถาบัน ระยะเวลาจองซื้อ วันที่ 22-25 มิ.ย.63 ผ่านธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ "BBB-" แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" เมื่อวันที่ 1 เม.ย.63
บริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นกู้เพื่อเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางการเงินของบริษัท และจะนำเงินที่ได้รับจำนวนไม่เกิน 3,000 ล้านบาทไปใช้ภายใน 1-2 ปีนับแต่วันออกหุ้นกู้
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ SIRI เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯครั้งนี้ นับเป็นการวางแผนด้านการเงินเพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งที่ยั่งยืนในระยะยาว ของบริษัท เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของการรักษาความเป็นเบอร์หนึ่ง ของการเป็น "แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย" อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง
บริษัทมีแผนผลักดันยอดขายเติบโตสู่ 120,000 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 แนวทางได้แก่ 1. แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่รัดกุมพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา 2. การบริหารสต็อกที่ดี ปัจจุบันแสนสิริ มีสินค้าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่มีความสมดุลในตลาด 3. การบริหารกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่ดี โดยได้จัดสรร Cash Flow เงินหมุนเวียนในบริษัทไว้ถึง 10,000 ล้านบาท มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์
บริษัทยังได้ปรับเป้ายอดขายปี 63 เพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 29,000 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินธุรกิจเพียง 5 เดือนที่ผ่านมาสร้างยอดขายไปได้กว่า 22,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 168% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นถึง 76% ของเป้าหมายยอดขายเดิม
นอกจากนี้ ล่าสุดบริษัทได้ปรับประมาณการเป้าหมายรายได้รวมทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 32,000 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้เดิม 27,000 ล้านบาท จากการมองเห็นแนวโน้มรายได้และกำไรที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยบริษัทเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จ อาทิ ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, คาวะ เฮาส์ รีสอร์ทคอนโดริมน้ำกลางสุขุมวิท ที่มียอดขายแล้วกว่า 80%, และ เดอะ เบส สุขุมวิท 50 เป็นต้น
และยังมีโครงการคอนโดมิเนียมเตรียมโอนอีกถึง 5 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, ดีคอนโด บลิส ศรีราชา ชลบุรี, ลา ฮาบานา หัวหิน, เดอะ เบส สะพานใหม่ และ XT เอกมัย รวมถึงแผนการโอนโครงการแนวราบที่สร้างเสร็จพร้อมโอนอย่างต่อเนื่อง
"ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนธุรกิจในการเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่รองรับการเติบโตอีก 14 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจคต์อีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท"นายวันจักร์ กล่าว