หุ้น TKN ราคาพุ่งขึ้น 6.60% มาอยู่ที่ 10.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.65 บาท มูลค่าซื้อขาย 470.84 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.13 น. โดยเปิดตลาดที่ 10.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 10.80 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 10.30 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์นแนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) ให้ราคาเหมาะสมที่ 16.10 บาท โดยคาดว่ากำไรจะเข้าสู่ Cycle ขาขึ้นรอบใหม่ตั้งแต่ H2/63 จากการรุกเข้าสู่ตลาดจีน หลังได้ Orion เข้ามาเป็นพันธมิตรช่วยกระจายสินค้าในจีน ดังนั้น คาดกำไรปี 63 เติบโต 12% YoY เป็น 406 ล้านบาท และผลประโยชน์เต็มปีจากตลาดจีนจะส่งผลให้กำไรปี 64 มีโอกาสทำ New High ที่ 627 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% YoY
กำไรที่จะเติบโตในปี 63 แม้จะเผชิญการระบาดของสถานการ์โควิด-19 ก็ตาม เนื่องจากศักยภาพของ Distributor รายใหม่ในจีน ซึ่งจะส่งผลเต็มที่ในปี 64 โดยคาดการณ์กำไรปี 64 เติบโตราว 55% และยังไม่รวม Upside หากได้ Distributor ที่มีศักยภาพรายใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรป อ้างอิง PEG2564 ที่ 0.65 และ EPS2564 ที่ 0.45 บาท ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 64 ของ TKN ที่ 16.10 บาท หรือเทียบเท่า PER2564 ที่ 35 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Forward PER ย้อนหลัง 4 ปีที่ 41.0 เท่า
แนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/63 ของ TKN ที่ 90 ล้านบาท (+5.3% QoQ, -8.5% YoY) แม้ว่ารายได้อาจลดลงเล็กน้อย 5% QoQ และ 15-20% YoY จากผลกระทบของรายได้ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากกว่าไตรมาส 1/63 ขณะที่รายได้ในจีนกลับมาปกติในช่วงกลางเดือน พ.ค. เป็นต้นมา แต่มีแรงหนุนจากต้นทุนสาหร่ายที่มีสต็อกต้นทุนต่ำตั้งแต่ปี 62 และเริ่มทยอยใช้ตั้งแต่ไตรมาส 4/62 แต่ต้นทุนเฉลี่ยในไตรมาส 2/63 จะลดลงอีกต่ำกว่าไตรมาส 4/62 และไตรมาส 1/63 อีกทั้งการลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดลงมากกว่า 50% นอกจากนี้คาดว่าผลประกอบการของธุรกิจในสหรัฐฯ จะพลิกเป็นกำไรครั้งแรก ทำให้อัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะสูงขึ้นจาก 7.1% ในไตรมาส 1/63 เป็น 8.5% ในไตรมาส 2/63
ทั้งนี้ คาดกำไรปกติปี 63 ของ TKN ที่ 406 ล้านบาท เติบโต 12.5% YoY แม้ว่าจะคาดรายได้ลดลง 7.0% YoY ซึ่งหลักๆ มาจากการชะลอตัวของรายได้ในประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการ Lockdown คาดรายได้ในประเทศลดลง 25% YoY แต่ได้แรงหนุนจากจีนที่คาดเติบโต 10.8% เพราะคำสั่งซื้อส่วนใหญ่จะมาในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/63) นอกจากนี้คาดรายได้ในอินโดนีเซียเติบโต 20.0% YoY กลับมาที่ระดับปกติ จากฐานที่ค่อนข้างต่ำในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการนำเข้าขนมขบเคี้ยวของรัฐบาลอินโดนีเซียที่กำหนดให้ต้องมีเครื่องหมายฮาลาลของอินโดนีเซียเท่านั้น
ขณะที่ปัจจัยหลักที่สำคัญที่ทำให้กำไรปี 63 ยังโตได้คือต้นทุนสาหร่ายที่ลดลงราว 10% YoY นอกจากนี้ยังมีการลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดลงในช่วงที่อุปสงค์ชะลอตัว เพื่อสำรองเงินสดไว้ใช้ทำการตลาดในช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว และการทำกำไรครั้งแรกของธุรกิจในสหรัฐฯ