นายวิทูร ซื่อวัฒนากุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) เปิดเผยว่า โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เฟสที่ 1 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่ม บมจ.เกษตรไทยอินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) เพื่อทำไบโอคอมเพล็กซ์ครบวงจรที่ใช้วัตถุดิบจากอ้อย มีความล่าช้าไปกว่าแผนที่วางไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และมาตรการการปิดเมือง (Lockdown) ทำให้เครื่องจักรที่มีการสั่งซื้อจากต่างประเทศไม่สามารถขนส่งมายังบริษัทได้ ทำให้คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงไตรมาส 4 /64 จากเดิมที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/64 ส่วนโครงการระยะที่ 2 อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและรอการตอบรับจากผู้ที่สนใจ
ส่วนการลงทุนโครงการโรงงาน Refined Glycerin แห่งที่ 2 ในจังหวัดชลบุรี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/63 ตามแผน เพื่อรองรับความต้องการของกลีเซอรีนที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันของอุตสาหกรรมด้านสุขอนามัย
ทั้งนี้ แผนการกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทในอนาคต ยังคงมุ่งเน้นแผนกลยุทธ์ในการเติบโต เพื่อความเป็นผู้นำในด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก คือ เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และ พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) โดยตั้งเป้าว่าในปี 67 บริษัทจะสามารถสร้างสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ 35% เคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพ (Biochemicals + Bioplastics) 65%
นายวิทูร กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังขาดหายในเดือน พ.ค.61 บริษัทได้ดำเนินการทางวินัยกับพนักงานที่กระทำผิดเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี 61 และขณะนี้อยู่ในกระบวนการด้านกฎหมายทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา พนักงานสอบสวนสามารถสรุปสำนวนคดี และได้เริ่มทยอยแจ้งข้อกล่าวหากับผู้กระทำผิดบางรายแล้วเพื่อทวงคืนความเสียหายจากคู่ค้าและผู้กระทำผิดทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ทั้งนี้ บริษัทได้เจรจากับคู่ค้า 2 ราย โดยคู่ค้าดังกล่าวได้ยอมรับความผิดและยินยอมส่งมอบวัตถุดิบค้างส่ง จำนวนประมาณ 22,800 ตันคืนให้แก่บริษัท และได้จดทะเบียนจำนองที่ดินประมาณ 44 ไร่เป็นหลักประกันการชำระหนี้ โดยในปี 62 บริษัทได้รับคืนวัตถุดิบจากคู่ค้าเป็นจำนวนเงิน 16 ล้านบาท รวมทั้งมีการติดตามให้คู่ค้าดังกล่าวส่งมอบวัตถุดิบค้างส่ง คืนให้แก่บริษัทตามแผนการจัดส่งต่อไป
ส่วนกลุ่มคู่ค้าที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา บริษัทจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการสอบสวนและดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีอาญาแก่คู่ค้าเหล่านี้ และเมื่ออัยการดำเนินการยื่นฟ้องคดีอาญาต่อคู่ค้า บริษัทจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการด้วย
นอกจากนี้บริษัทมีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อวัตถุดิบ การเก็บวัตถุดิบและการกลั่น รวมทั้งมีการตรวจนับวัตถุดิบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถดูแลควบคุมปริมาณการเก็บวัตถุดิบได้อย่างรัดกุมและถี่ถ้วน อีกทั้งบริษัทยังมีการปรับปรุงนโยบายการรับเรื่องร้องเรียน (Whistleblower Policy) ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มุ่งเน้นการให้ความสำคัญต่อการปกป้องคุ้มครองผู้ร้องเรียน โดยมีการเก็บข้อมูลของผู้ร้องเรียนไว้เป็นความลับในระดับชั้นความลับมาก (Strictly Confidential) และมีกลไกในการติดตามความคืบหน้าอย่างเป็นระบบ รวมถึงการแจ้งผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่อผู้ร้องเรียน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับทุกข้อร้องเรียนที่ได้รับแจ้งมา