(เพิ่มเติม) PRIN คาดขายหุ้น PO 335 ล้านหุ้นได้ก.ค.-ส.ค. หลังตลาดหุ้นฟื้นตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 11, 2007 15:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ปริญสิริ (PRIN) คาดจะสามารถขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป(PO) จำนวน 335 ล้านหุ้น ได้ในเดือนก.ค.-ส.ค.นี้ จากเดิมที่จะเสนอขายในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. โดยจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ไปรองรับโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 3 แห่งรวมมูลค่า 3 พันล้านบาท รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน  และซื้อที่ดินใหม่รับการขยายโครงการในอนาคต
"สำนักงาน ก.ล.ต. คงจะอนุมัติไฟลิ่งภายในสัปดาห์นี้ไม่ก็สัปดาห์หน้า เนื่องจากตอนนี้ภาวะตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดีขึ้น การเมืองคลี่คลายจากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศที่สนใจซื้อหุ้นมีความกังวล" นายนำชัย วนาภานุเบศ ผู้ช่วยกรรมการ PRIN กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ สัดส่วนจัดสรรการขายหุ้นเพิ่มทุนจะมีการหารือกับที่ปรึกษาทางการเงินอีกครั้ง โดยในช่วงที่ผ่านมาความต้องการของนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศมีอยู่มาก
"หลังการเพิ่มทุนจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นให้ dilution effect ลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ต้องการให้พิจารณาในอนาคตที่เม็ดเงินได้จากการเพิ่มทุนจะนำไปใช้ในการรองรับการเติบโตธุรกิจ ไม่ใช่นำไปลดหนี้ ซึ่งจะทำให้ PRINเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2551" นายนำชัยกล่าว
นอกจากนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าวยังส่งผลดีต่อบริษัทที่ทำให้หุ้น PRIN มีฟรีโฟลตเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบัน 10% และมาร์เก็ตแคปเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด จากปัจจุบันที่มาร์เก็ตแคปอยู่ในระดับต่ำประมาณ 1-2 พันล้านบาท ทำให้หุ้น PRINไม่น่าสนใจ
**ครึ่งปีหลังเร่งโอนบ้านที่เหลือ 1.2 พันลบ. รวมโครงการใหม่
นายนำชัย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังปีนี้บริษัทจะเร่งสร้างรายได้ด้วยการโอนโครงการที่จะส่งมอบให้ได้เร็ว และยังมียอดขายที่อยู่ในมือประมาณ 2.4 พันล้านบาทแต่ยังโอนไม่หมด โดยในครึ่งแรกปีนี้โอนแล้วประมาณ 1.2 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนหมดในปีนี้ในบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ รวมทั้งยอดขายในโครงการใหม่ที่เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 3-4 พันล้านบาท ที่จะเปิดในปีนี้ที่จะโอนบางส่วนในปีนี้
"การสำรวจความต้องการผู้บริโภคที่ผ่านมาจะเป็นคนรุ่นใหม่และเริ่มสร้างครอบครัว เราจึงจะลดขนาดบ้านลง และราคาขายก็ลดลงไปด้วย ทาวน์เฮ้าส์ราคาก็ลดลงมาเหลือ 1 ล้านบาทและจาก 3 ชั้นมาเหลือ 2 ชั้น บ้านเดี่ยวราคาจาก 3 ล้านบาทลงมาที่ราคา 2 ล้านบาทเพื่อเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคตอนนี้" นายนำชัยกล่าว
ดังนั้น ทำให้มั่นใจว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ประมาณ 4 พันล้านบาทซึ่งเติบโตกว่า 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.9 พันล้านบาท แต่รายได้ในปีนี้จะมาจากโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ขณะที่โครงการคอนโดมีเนียม 3 โครงการที่ได้เปิดขายในเดือนมี.ค.นั้นส่วนใหญ่จะไปรับรู้รายได้ในปี 2551 มากกว่า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ