นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ปรับตัวลงกันทั่วหน้าราว 2-3% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ร่วงแรงเกือบ 7% เมื่อคืนนี้ จากความกังวลเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มองเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวเร็ว และจะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยไปถึงปี 2565 รวมถึงบางรัฐในสหรัฐฯได้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 อย่างรัฐเท็กซัส, ฟลอริดา เป็นต้น ทำให้อาจจะไปฉุดเศรษฐกิจให้ทรุดตัวมากขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงต่างปรับตัวลงกันหมด รวมถึงราคาน้ำมันที่ดิ่งลงราว 8% ด้วย ส่วนบ้านเราจะเห็นได้ว่า Valuation ได้ตึงตัวมามากแล้ว ก็พร้อมที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง
ทั้งนี้ ให้ติดตามการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันนี้ ในประเด็นการคลายล็อกดาวน์ เฟส 4 และตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯในเดือนมิ.ย. พร้อมให้แนวรับ 1,375-1,360 จุด ส่วนแนวต้าน 1,400-1,405 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 มิ.ย.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,128.17 จุด ร่วงลง 1,861.82 จุด (-6.90%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,002.10 จุด ลดลง 188.04 จุด (-5.89%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,492.73 จุด ลดลง 527.62 จุด (-5.27%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 390.79 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 44.10 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 559.45 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 129.23 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 88.54 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 74.51 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 44.86 จุด
ส่วนตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันประกาศอิสรภาพ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 มิ.ย.63) 1,396.77 จุด ลดลง 22.00 จุด (-1.55%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 738.84 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 มิ.ย.63) ปิดที่ 36.34 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 3.26 ดอลลาร์ หรือ 8.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 มิ.ย.) อยู่ที่ -0.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.13/18 อ่อนค่าจากวานนี้ ตลาดกังวลโควิด-19 ระบาดระลอกสอง ให้กรอบวันนี้ 31.00-31.30
- เงินบาทแข็งค่าทะลุ 31 ต่อดอลลาร์ ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 30.83 ก่อนรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย "อุตตม" จี้แบงก์ชาติ ดูแลให้สอดคล้องกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้านธปท. ย้ำบาทแข็งจากดอลลาร์อ่อนค่า แนะผู้ประกอบการทำเฮดจิ้ง พร้อมเลี่ยงไปใช้สกุลเงินอื่น ด้าน "นักเศรษฐศาสตร์" เชียร์หั่นดอกเบี้ยเพิ่ม ช่วยบรรเทาบาทแข็ง
- เลขาฯสมช.เผยผ่อนปรนเฟส 4 ปลดล็อกกิจการ 95% เหตุประชาชนร่วมมืออย่างดี "นายกฯ" ย้ำทำด้วยความระมัดระวัง ให้รอฟังข่าวดีเลิกเคอร์ฟิวประชุมศบค.ใหญ่ เคาะวันนี้ ด้านรมว.สาธารณสุข เผยมีวาระถก "ทราเวล บับเบิล" เล็งจับคู่แลกเปลี่ยนท่องเที่ยวกับจีน ส่วนสถานการณ์ล่าสุดไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ขณะที่ผู้ป่วยรอบ 14 วันเดินทางมาจากต่างประเทศทั้งหมด เตือนใส่เฟซชิลด์อย่างเดียวไม่สามารถป้องกันละอองฝอยไอจาม
- "บอร์ด รฟม." เคาะขยายลดค่าโดยสารช่วยประชาชน สีม่วงเหลือ 20 บาทอีก 3 เดือน คงค่าตั๋วสีน้ำเงินถึงสิ้นปี โอดผลกระทบโควิด-19 ต้องปรับแผนเพียบ เผยผลประเมินงาน "ผู้ว่าฯรฟม." รอบ 6 เดือนผ่านฉลุย
- กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ เฉือนขาดทุนหุ้น "แอสเสท เวิรด์" กว่า 740 ล้านหุ้น ส่งผลสัดส่วนหุ้นเหลือเพียง 4.86% นักวิเคราะห์ คาดปรับพอร์ตลงทุนท่ามกลางวิกฤติโควิด พร้อมประเมิน "แอสเสท เวิรด์" ปีนี้ส่อขาดทุนเฉียด 200 ล้านบาท ก่อนพลิกมีกำไรในปีหน้า
- นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือน พ.ค.63 อยู่ที่ระดับ 31.3 ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในโซนสีแดงหรือระดับที่มีความย่ำแย่มาก เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้ตัวชี้วัดทุกด้านทั้งการบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการค้าชายแดน ภาคบริการ และการจ้างงาน ปรับตัวลดลงในทุกภูมิภาค ดังนั้น ผู้ประกอบการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยอาจซึมยาวและน่าจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ในปี 65
*หุ้นเด่นวันนี้
- BAM (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้าสูงสุด IAA Consensus 29.5 บาท แนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดี NPLs มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น เป็นโอกาสของผู้ประกอบการติดตามหนี้และบริหารสินทรัพย์ จากการเข้าซื้อ NPLs ในราคาที่ถูกลง (แย่งกันขาย) หนุนพอร์ตลูกหนี้ในมือเพิ่มขึ้นรอออกดอกผลเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
- TACC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 5.80 บาท คาดกำไร Q2/63 ทรงตัวได้ Q-Q, Y-Y ซึ่งถือว่าดีมาก เพราะการบริหารต้นทุนวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและ product mix จากการออกเครื่องดื่มขนาดใหม่ใน All cafe หักล้างการปรับลงของรายได้ได้หมด แนวโน้มกำไร H2/63 ดีต่อเนื่อง โดยปรับกำไรปี 2563 ขึ้น 8% เป็น 165 ล้านบาท +2% Y-Y ดีกว่าเดิมที่คาดว่า -6% Y-Y และคาดโตต่อเนื่อง +12% Y-Y ในปีหน้า ประมาณการมี upside จากการเป็น Supplier ให้ร้าน 7-11 ในกัมพูชาและ Tesco ภายหลังเข้ามาอยู่ในเครือซีพี