BAY ตั้งสำรองเพิ่มเพื่อรองรับธุรกิจขยายตัวเป็นเหตุให้ Q2 พลิกขาดทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 20, 2007 13:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) แจ้ง ผลการดำเนินงานของธนาคารในงวดครึ่งปีแรก ธนาคารมีกำไรก่อนหักสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 3,900 ล้านบาท  ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม 11,500 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินสำรองฯ ที่ต้องตั้ง ตามเกณฑ์  IAS39 จึงส่งผลให้ผลประกอบการของธนาคารในรอบหกเดือนแรกของปี 2550 มีผลขาดทุนสุทธิ 7,600 ล้านบาท 
“ปีนี้เป็นปีที่ธนาคารมีเป้าหมายที่จะเร่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อพร้อมรองรับการเติบโต ในอนาคต โดยเป้าหมายนี้รวมถึงการจัดการเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพและการทำให้งบดุลของธนาคารเข้มแข็งขึ้นเพื่อให้ธนาคารสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน จึงตัดสินใจตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้ครบทั้งจำนวนตามเกณฑ์ IAS 39 เลยทันทีก่อนจะถึงเวลาที่กำหนด" นาย ตัน คอง คูน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY กล่าว
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ธนาคารก็ได้ลงทุนเพิ่มในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพิ่มการฝึกอบรมพนักงาน ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้กระชับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล
นาย ตัน กล่าวต่อว่า ธนาคาร พอใจกับความคืบหน้าในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของธนาคาร เพราะความทุ่มเทในเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้ธนาคารสามารถเติบโตในปีต่อ ๆ ไปได้อย่างคล่องตัวและอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะใน ธุรกิจการเงินเพื่อลูกค้าบุคคล และนอกเหนือจากการดำเนินการเพื่อรากฐานที่แข็งแกร่งแล้ว
ในไตรมาสนี้ ธนาคารยังประสบความสำเร็จ สามารถทำตามเป้าหมายธุรกิจได้อีกหลายเรื่อง อาทิ มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้านบริการทางการเงินเพื่อลูกค้าบุคคล เช่น บริการ “บัตรไม่ต้อง เพื่อรับเงินโอน" หรือ ‘Cardless ATM remittance’ สินเชื่อบุคคล “กรุงศรี เพอร์เซอร์นัลโลน" และสินเชื่อรถยนต์ ที่ให้บริการผ่านบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ลีส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของธนาคาร
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 645,000 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อ 422,000 ล้านบาท และเงินฝาก 527,000 ล้านบาท และ ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2550 ฐานะเงินกองทุนของธนาคารแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากการที่จีอีได้ เพิ่มการลงทุนในธนาคารฯ กอปรกับมีนักลงทุนบางส่วนได้แปลงใบสำคัญแสดงสิทธิเป็นหุ้นสามัญ โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 19.2% โดยเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) 14.6%
นาย ตัน กล่าวว่า เชื่อว่าธนาคารจะก้าวไปถึงจุดมุ่งหมายระยะยาวในการที่จะเป็นธนาคารที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในประเทศไทย
ทั้งนี้ จีอี มันนี่ ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารเป็น 31% (หลังใบสำคัญแสดงสิทธิแปลงสภาพเต็มจำนวนแล้ว) ถือเป็นการยืนยันถึงความตั้งใจจริงของจีอี มันนี่ และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแผนงานของธนาคารและโอกาสในการเติบโตในประเทศไทยด้วย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ