นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก หลังนักลงทุนกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองในสหรัฐ จีน และ ญี่ปุ่น โดยล่าสุดทางการปักกิ่งได้สั่งปิด ตลาดซินฟาตี้ ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ หลังพบผู้ติดเชื้อจากตลาด
ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 8.3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นตัวกดดันตลาด และสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยที่อยู่ในระดับสูงแตะ 79% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ จึงคาดการณ์กรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) เคลื่อนไหวในระดับ 1,340-1,390 จุด
อีกทั้งยังคงต้องจับตาการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุมนโยบายการเงิน รวมทั้งทางสหภาพยุโรป (อียู) จะมีการเปิดเผยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือน มิ.ย.และ สหรัฐ เปิดเผยยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจในวันที่ 16 มิ.ย.
ส่วนวันที่ 17 มิ.ย. ญี่ปุ่น จะเปิดเผยยอดนำเข้า-ส่งออก และดุลการค้าเดือน พ.ค. และอียูเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค. รวมทั้งสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้าง และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และในวันที่ 18 มิ.ย. ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงิน สหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีการผลิตเดือน มิ.ย. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ค.
ส่วนปัจจัยบวก อาทิ การคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จาก มอร์แกน สแตนลีย์ที่มีความมั่นใจเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวในลักษณะ V-Shape และคาดว่าภายในไตรมาส 4/63 ภาพรวมเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยอยู่ในระดับดี ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อภายในประเทศต่อเนื่องสองสัปดาห์กว่า รวมทั้งคาดว่าที่ประชุม ครม.จะพิจารณาแพ็กเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศในเดือนก.ค. ซึ่งยังคงต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลบวกชัดเจน
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินกลยุทธ์หุ้นรายตัวที่น่าจับตา โดยนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย GBS แนะนำลงทุนในหุ้นเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Large Cap Index เช่น CRC และ DIF และดัชนี FTSE SET Mid Cap Index เช่น ACE, BAM, IMPACT, LH, MINT และ TQM โดยรอบใหม่มีผล 22 มิ.ย. นี้
และหุ้นเข้าคำนวณดัชนี SET50 ได้แก่ BPP และ TTW ส่วนดัชนี SET100 ได้แก่ AAV, ACE, DOHOME, RBF, SIRI, TVO และ WHAUP รวมถึงหุ้นพื้นฐานดีแต่ยัง Laggard ดัชนี เช่น กลุ่มโรงพยาบาล CHG BCH และกลุ่มสื่อสาร ADVANC
ส่วนทองคำ ประเมินสัปดาห์นี้ มีมุมมองบวกต่อราคาทองคำเนื่องจากเห็นเม็ดเงินเริ่มไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง โดยมองกรอบราคาทองคำที่ 1,700-1,750 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือเทียบเท่าทองคำไทย 24,920-25,730 บาท/บาททองคำโดยเน้นฝั่งซื้อเมื่ออ่อนตัว เนื่องจากเรามีมุมมองบวกต่อทองคำในระยะยาวจากแรงหนุนของมาตรการ QE ที่ไม่จำกัดวงเงินของเฟด และการระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 ในสหรัฐ และสัญญาณเม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ