แม้ว่าปัจจุบันความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบจะกลับมาดีขึ้น จากที่เริ่มเห็นจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการ (Walk-in) กลับมามากขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.เป็นต้นมา และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยที่เริ่มคลี่คลายอย่างชัดเจนขึ้น ทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญกับความไม่แน่นอนเช่นเดียวกับภาวะเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ บริษัทจะดูว่าการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ มูลค่า 1.4 พันล้านบาท ในเดือน ก.ค.นี้การตอบรับของลูกค้าจะเป็นอย่างไร ก่อนจะนำไปพิจาณาตัดสินใจเปิดโครงการคอนโดมิเนียมที่รออยู่อีก 3 โครงการ
"คอนโดฯ ในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง และยังมาเจอโควิด-19 กระทบอีก ทำให้ตลาดคอนโดฯ ชะลอไป คนกลับมาสนใจแนวราบมากขึ้น สวนทางกับช่วงหลังน้ำท่วมปี 54 ที่คนหันมาสนใจคอนโดฯ มากกว่าแนวราบ แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์เป็นปกติแล้ว รถเริ่มกลับมาติด และการใช้รถไฟฟ้ายังเป็นการเดินทางที่รวดเร็วที่สุด เชื่อว่าคนจะหันมามองทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเดินทาง ซึ่งคอนโดฯ จะตอบโจทย์ในแง่นี้ และเป็นจุดที่ทำให้ตลาดคอนโดกลับมา"
สำหรับโครงการ ศุภาลัย ลอฟท์ สาทร-ราชพฤกษ์ เป็นโครงการคอนดดมิเนียมโครงการที่ 2 ของปี 63 จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในยุค New Normal และความโดดเด่นของทำเลใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางหว้า Interchange เพียง 450 เมตร และติดถนนสายหลักที่สามารถเข้าสู่ถนนสาทรโดยใช้ระยะเวลาเพียง 10 นาที ราคาขายที่ย้อนกลับไปในช่วง 3 ปีที่แล้ว เริ่มต้น 1.69 ล้านบาท เป็นหนึ่งในปัจจัยเกี่ยวกับ Price Performance ที่ลูกค้านึกถึงเป็นสิ่งแรก หลังจากที่โควิด-19 กระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อ
บริษัทกำหนดเปิดตัว Pre-Sales อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 11-12 ก.ค. 63 หรือจองผ่าน Online Booking บางยูนิตในชั้น 8 และ 16 ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ ราคาเริ่มเพียง 1.69 ล้านบาท พร้อมของแถมพิเศษ
ส่วนการเปิดโครงการแนวราบในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ยังเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ 16 โครงการ มูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการแนวราบถือเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมและทำยอดขายได้ดีมาก หลังจากทำยอดขายในเดือนพ.ค.63 สูงถึง 2.3 พันล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่าลูกค้ายังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบอยู่มาก
นายไตรเตชะ กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายและรายได้ในปี 63 ไว้ที่ 2.6 หมื่นล้าน และ 2.4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ โดยรอดูผลงานในครึ่งปีแรกออกมาให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร แต่มองว่าหากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วเหมือนกับในช่วงเดือน พ.ค. บริษัทก็คาดว่าจะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย และยังมีโครงการใหม่ที่จะทยอยโอนในช่วงครึ่งปีหลังเข้ามาสนับสนุนรายได้อีก 9.5 พันล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่เกือบ 4 หมื่นล้านบาท แม้ว่าอาจจะเลื่อนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ออกไปเป็นปีหน้าก็ตาม