TISCO มอง SET พักฐานแนะรอหลุด 1,340 เข้าทยอยสะสมหุ้นแนวโน้มกำไรฟื้น-หุ้นปันผล

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 17, 2020 13:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา บล.ทิสโก้ มองว่ามูลค่าหุ้นไทยตึงตัวมาก และแนะนำให้ลูกค้าทยอยขายกระชับพอร์ตมาโดยตลอด โดยล่าสุดดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงและเข้าสู่ช่วงพักฐานตามที่คาด ปัจจัยหลักมากจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบสองที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐฯ, จีน และกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา นอกจากนี้ การปรับตัวลงครั้งนี้ถือเป็นส่วนช่วยลดความร้อนแรงหลังตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาอีกด้วย

สำหรับมุมมองการลงทุนหลังจากนี้ บล.ทิสโก้คาดว่าหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางขาลง ย่อตัวสลับรีบาวด์ และหากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,340 จุด มองเป็นระดับที่น่าทยอยสะสมหุ้น โดยคำนวณมาจาก 2 ปัจจัย คือ 1. ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยโดย Bloomberg Consensus ที่คาดว่าในปีนี้จะมีกำไรที่ 66.2 บาทต่อหุ้น และปี 64 ที่ 83.8 บาทต่อหุ้น และค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (12m Fwd. PER) ระยะยาวในอดีตที่ 16.6 เท่า จะได้ดัชนีที่เหมาะสมในช่วงไตรมาส 3/63 ที่ 1,318 จุด และไตรมาสที่ 4/2563 ที่ 1,392 จุด ซึ่งในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มปรับลงอยู่

และ 2. การปรับตัวทางเทคนิคตามหลัก "Fibonacci Retracement" โดยหุ้นไทยเด้งจากจุดต่ำสุดรอบนี้ที่ 969 จุด (13 มี.ค.) และทำจุดสูงสุดที่ 1,454 จุด (8 มิ.ย.) เพราะฉะนั้นระดับ Fibonacci Retracement ที่ 23.6% และ 38.2% จะคิดเป็นดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,340 จุด และ 1,269 จุด ตามลำดับ

นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า อีกประเด็นที่น่าติดตามในช่วงนี้คือ "Window Dressing" ที่มักจะถูกกล่าวถึงในช่วงสิ้นไตรมาส เนื่องจากราคาหุ้นบางตัว และตลาดหุ้นโดยรวมมักปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำตัวเลขทางบัญชีให้ดูดีทั้งจากนักลงทุนสถาบัน กองทุน และบริษัทอื่นๆ ที่ลงทุนในหุ้น ด้วยการซื้อเพื่อผลักดันราคาหุ้นให้ปิดสูงขึ้นเพื่อทำให้พอร์ทที่ลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จากการศึกษาความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนของทุกไตรมาสย้อนหลังนับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 52 เป็นต้นมาพบว่าไตรมาส 1 มีโอกาสเกิดปรากฎการณ์ Window Dressing ประมาณ 67% ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.2%, ไตรมาส 2 มีโอกาสเกิด 64% ให้ผลตอบแทน 1.4%, ไตรมาส 3 มีโอกาสเกิด 64% ให้ผลตอบแทนติดลบ 0.5% และไตรมาส 4 มีโอกาสเกิด 64% ให้ผลตอบแทน 0.0%

นอกจากนี้ จากการศึกษาพฤติกรรมของหุ้นเป็นรายตัวในอดีตพบว่า หุ้นที่มักเกิดผลกระทบ Window Dressing คือ BGRIM, GULF, KTC, OSP, PRM, RATCH, SPALI และ TTW กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น สามารถจำแนกหุ้นออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง หรือใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากราคาหุ้นฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเกินปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว (ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่เกินกว่ามูลค่าที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานของตลาดมากกว่า 10% ขึ้นไป) นอกจากนี้ คำแนะนำของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้มุมมองเป็น "ถือ" และ "ขาย" จากการตรวจสอบหุ้นทั้งหมดใน SET100 หุ้นที่เข้าข่าย คือ CENTEL, COM7

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มหุ้นที่แนะนำหาจังหวะทยอยสะสมในช่วงตลาดพักฐาน จากแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังเริ่มฟื้นตัวและปีหน้าคาดดีต่อเนื่อง แนะนำ CPALL, HMPRO, BBL, KKP, BAM, AEONTS, SCC, CK, SEAFCO และ BEM นอกจากนี้ ยังมองเป็นจังหวะทยอยเก็บหุ้นปันผลด้วย เนื่องจากอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเข้าสู่การจ่ายปันผลระหว่างกาล ชอบ EASTW, EGCO, RATCH, INTUCH, DCC, SCCC, LH, QH, DIF และ TFFIF

กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มหุ้นเทรดดิ้งระยะสั้น เนื่องจากคาดว่าจะมีประเด็นบวกเฉพาะตัวหนุน 1. หุ้นรับอานิสงส์บาทแข็ง ชอบ EGCO, SYNEX และ TVO 2. หุ้นเข้า SET50 และ SET100 คือ TTW, BPP / ACE, DOHOME, RBF, TVO และ WHAUP และ 3. หุ้นเข้าข่าย Window Dressing - BGRIM, GULF, KTC, OSP, PRM, RATCH, SPALI และ TTW


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ