ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังลต่อการแสดงความคิดเห็นทางเศรษฐกิจในด้านลบของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับเฮดจ์ฟันด์ 2 แห่งของวาณิชธนกิจแบร์ สเติร์นส์
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์รูดลง 53.33 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 13,918.22 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 3.20 จุด หรือ 0.21% ปิดที่ 1,546.17 จุด และดัชนี Nasdaq รูดลง 12.80 จุด หรือ 0.47% ปิดที่ 2,699.49 จุด
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.77 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ขณะที่ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้น Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.27 พันล้านหุ้น
นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักหลังจากที่นายเบอร์นันเก้แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งสภาคองเกรสว่า "เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นไปจนถึงปี 2551 แต่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในประเทศยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับเฟดเป็นอย่างยิ่ง"
ขณะเดียวกันนายเบอร์นันเก้กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจทรุดตัวลงเข้าขั้นรุนแรงก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค
นายท้อดด์ ซาลาโมน นักวิเคราะห์จากบริษัทแชฟเฟอร์ อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า "แม้แถลงการณ์ของเบอร์นันเก้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็เขย่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้สั่นคลอนได้อีกครั้ง นอกจากนี้ ตลาดยังถูกซ้ำเติมเมื่อวาณิชธนิกิจแบร์ สเติร์นส์เปิดเผยว่า เฮดจ์ฟันด์ 2 แห่งของแบร์ สเติร์นส์ซึ่งเข้าไปลงทุนจำนวนมากในตลาดการปล่อยกู้จำนองแก่ลูกหนี้ที่ขาดความน่าเชื่อถือ (ซับไพรม์) นั้น แทบไม่เหลือมูลค่า"
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น 1.03 ดอลลาร์ แตะระดับ 75.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่าน้ำมันเบนซินสำรองปรับตัวลดลงเกินความคาดหมาย แม้อัตราการใช้กำลังการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ตลาดพอจะได้รับปัจจัยบวกบ้างจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปเดือนมิ.ย. ขยับขึ้นเพียง 0.2% และดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนี CPI ทั่วไปปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% นั้น มาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ที่พุ่งขึ้น 5.4% ซึ่งรวมถึงราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้น 1.1%
ทั้งนี้ หุ้นแบร์ สเติร์นสร่วงลง 57 เซนต์ ปิดที่ 139.34 ดอลลาร์ เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในเฮดจ์ฟันด์ 2 แห่ง ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐ ดิ่งลง 2.1% แม้เจพีมอร์แกนเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 20%
ส่วนหุ้นอินเทลร่วงลง 4.8% แม้บริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่สอดคล้องกับที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ และหุ้นยาฮูดิ่งลง 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ต่ำเกินคาด
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--