(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 20.57 จุด ขานรับ PPI สหรัฐชะลอตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 18, 2007 06:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงปิดเดินหน้าขึ้นเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) โดยในระหว่งวันดัชนีสามารถทะยานขึ้นฝ่าระดับ 14,000 จุดได้เป็นครั้งแรก หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่าดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อโดยรวม ปรับตัวลดลงในเดือนมิ.ย. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเอกชน
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดขึ้น 20.57 จุด หรือ 0.15% ปิดที่ 13,971.55 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 รูดลง 0.15 จุด หรือ 0.01% ปิดที่ 1,549.37 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 14.96 จุด หรือ 0.55% ปิดที่ 2,712.29 จุด
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.44 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 19 ต่อ 14 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.22 พันล้านหุ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PPI เดือนมิ.ย.ปรับตัวลง 0.2% หลังจากพุ่งขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ค. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ดัชนี PPI ของสหรัฐปรับตัวลดลงนับตั้งแต่เดือนม.ค.เป็นต้นมา และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับตัวขึ้น
นายปีเตอร์ ดูเนย์ นักวิเคราะห์จากบริษัทลี้บ แคปิตอล เมเนจเมนท์กล่าวว่า "การที่ดัชนี PPI ปรับตัวลงเหนือความคาดหมายได้ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นเหนือระดับ 14,000 จุดได้ในช่วงเช้า ซึ่งแม้ว่าดาวโจนส์จะถอยร่นลงจากระดับดังกล่าวในเวลาต่อมา แต่ปัจจัยบวกในตลาดยังเพียงพอที่จะพยุงดาวโจนส์ให้สามารถปิดในแดนบวกได้"
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานสหรัฐระบุว่าปัจจัยที่ทำให้ดัชนี PPI เดือนมิ.ย.ปรับตัวลงมาจากราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.เป็นต้นมา ขณะที่ต้นทุนราคาอาหารปรับตัวลงติดต่อกัน 2 เดือน โดยดัชนี PPI เป็น 1 ในตัวเลขเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จับตาดูมากที่สุด เพราะเฟดมองว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ในเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กร่วงลง 13 เซนต์ แตะระดับ 74.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กคึกคักขึ้น โดยที่ผ่านมานั้นตลาดถูกกดดันเนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"ดาวโจนส์เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับ 14,000 จุด จนในที่สุดก็ทะยานขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่มากกว่าหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะหุ้น 3M หุ้นคาเตอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับงานก่อสร้าง หุ้นอัลโคซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียม และหุ้นพลังงานยักษ์ใหญ่อย่างเอ็กซอน โมบิล ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงิน อาทิ เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค กลับอ่อนตัวลง" นายดูเนย์กล่าว
หุ้นโคคา-โคลา ร่วงลง 68 เซนต์ ปิดที่ 53.17 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ขยับขึ้นเพียง 1% เนื่องจากยอดขายในตลาดหลักๆอย่างอเมริกาเหนือปรับตัวลดลง 2%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ