นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถลดต้นทุนจากการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ได้ถึงราว 30,000 ล้านบาท ด้วยแผนการบริหารจัดการต้นทุนแบบเฉียบพลัน ทั้งการเจรจาลดค่าเช่าพื้นที่ การลดเงินเดือนพนักงาน และการหยุดจ้างพนักงานชั่วคราว ส่งผลให้จุดคุ้นทุนของอัตราการเข้าพักลดลงเหลือ 30-40% จากเดิมที่จุดคุ้มทุนของอัตราการเข้าพักจะเฉลี่ยอยู่ที่ 50-60%
ทั้งนี้ คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก หลังจากที่หลายประเทศเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ ที่สกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขณะนี้โรงแรมภายใต้การบริหารงานของบริษัท จำนวน 530 แห่งได้เปิดให้บริการแล้วในสัดส่วน 60% ซึ่งมีอัตราการเข้าพักดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบางแห่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 20-30%
สำหรับผลประกอบการในเดือน เม.ย. น่าจะเป็นช่วงแย่ที่สุดของปีนี้ จากการมาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกพร้อมกัน ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมและเชนร้านอาหารของบริษัท แต่ในข่วงเดือน พ.ค. ทิศทางผลประกอบการได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว
นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า ส่วนการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 563.29 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) ในอัตราส่วน 8.2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขาย 18.90 บาท/หุ้นนั้น คาดว่าจะได้รับเงินจากการกระดมทุนในครั้งนี้ จำนวน 10,000 ล้านบาท ส่วนกรณีที่ได้ปรับสัดส่วนการเสนอขาย จากเดิมที่ 6.45 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของการระดมทุนที่คาดจะได้วงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งการปรับสัดส่วนใหม่ดังกล่าวส่งผลให้เกิด Dilution ประมาณ 10.90%
สำหรับการที่บริษัทเปิดช่องให้สามารถปรับราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ RO ได้ในกรอบ 17.10-18.90 บาทต่อหุ้นนั้น เนื่องจากบริษัทจะพิจารณาจากภาวะตลาดในกรณีที่หากราคาหุ้น ณ ปัจจุบันลดลง ก็จะปรับราคาขายหุ้น RO ลงไม่เกิน 10% ของราคาเสนอขายเดิม
ขณะเดียวกัน ในต้นเดือนก.ค.63 บริษัทจะกำหนดราคาแปลงสิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ MINT-W7 โดยบริษัทได้จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 17 หุ้นสามัญ ต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) 1 หน่วย โดยจะมีอายุการแปลงสิทธิ 3 ปี โดยคาดจะได้เงินจากการใช้สิทธิ วงเงิน 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้กรณีที่บริษัทขายหุ้นกู้ชุดใหม่ให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ จำนวนรวม 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่มีกำหนดอายุหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ย คงที่ 3.10% ต่อปี ชำระดอกเบี้ย ทุก 6 เดือน ซึ่งมีความต้องการหุ้นกู้ดังกล่าวเกิน 11 เท่า แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ เงินระดมทุนครั้งนี้ ถือเป็นแผนเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้น และคาดว่าภายในปี 63 อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt to Equity Ratio : IBD/E) จะลดลงอยู่ในระดับ 1.3 เท่า จากไตรมาส 1/63 อยู่ที่ระดับ 1.6 เท่า
ส่วนกรณีที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส (Moody’s Investors Service) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือบริษัท NH Hotel Group S.A. ลงจากระดับ "B1" มาอยู่ที่ระดับ "B3" และปรับลดอันดับหุ้นกู้ปัจจุบัน มูลค่า 357 ล้านยูโร จากระดับ "Ba3" เหลือเพียงระดับ "B2" มองว่าทาง MINT จะไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากเป็นส่วนเงินทุนของทาง NH Hotel Group S.A. ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าจะถูกปรับลดอันดับเครดิต ทาง NH Hotel Group S.A. จะไม่ต้องชำระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากขณะนี้ดอกเบี้ยเป็นแนวโน้มขาลง