นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดหวังมาตรการคลายล็อกดาวน์และการผ่อนคลายการเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาในช่วง 1 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้กับธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันการขายที่ดินได้หยุดชะงักลงไป เพราะนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในปี 63 ที่ได้ปรับเป้ารายได้ลงเหลือเติบโต 15% จากเดิมที่ตั้งไว้เติบโต20%
"ตอนนี้รอมาตรการภาครัฐเกี่ยวกับการคลายล็อกดาวน์และกลับมาเปิดประเทศ ซึ่งตอนนี้เราก็รออยู่ เพื่อให้นักลงทุนเดินทางเข้ามาในประเทศได้ ซึ่งตอนนี้เราก็ยังมีการคุยกับนักลงทุนต่อเนื่องผ่านออนไลน์ เขาก็สนใจเข้ามาแต่ติดขัดที่ยังไม่สามารถเข้ามาในประเทศได้ ทำให้มองว่าการเปิดประเทศต้องเกิดขึ้นเร็ว หรืออีก 1 เดือนข้างหน้า เพราะปัจจัยนี้กระทบต่อธุรกิจนิคมฯของบริษัท"นางสาวจรีพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายที่ดินในปี 63 จะยังทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,400 ไร่ หรือมีโอกาสทำยอดขายได้มากกว่าเป้า จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามมีโอกาสที่ขายได้เกินเป้า 200 ไร่ เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าในเวียดนามสนใจเข้ามาเจรจาซื้อที่ดินของบริษัทเป็นจำนวนมาก ส่วนยอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทในประเทศไทย ยังคงรอลุ้นการเปิดประเทศให้นักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้ามา แต่บริษัทยังเชื่อว่าจะทำได้ตามเป้า
สำหรับธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ายังคงสร้างรายได้ได้ดีอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce ทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่าอัตราการเช่าพื้นที่คลังสินค้าในปีนี้จะทำได้ 250,000 ตารางเมตรตามเป้าหมาย ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคมองว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นหลังจากภาคอุตสาหกรรมกลับมาเดินเครื่องผลิตปกติในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้คาดว่ายอดขายและให้บริการน้ำในปีนี้จะยังมากกว่าปีก่อนตามที่ได้เป้าหมายไว้ 147 ล้านลูกบาศก์เมตร
ด้านแผนการลงทุนของบริษัทในช่วง 5 ปี (ปี 63-67) ยังคงงบลงทุนตามเดิมไว้ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะเผชิญกับการหยุดชะงักของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปีนี้จากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่บริษัทยังมองว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะเห็นแนวโน้มที่กลับมาดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากเห็นสัญญาณความต้องการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นหลังจากภาครัฐมีการสนับสนุนด้วยการให้สิทธิพิเศษด้านการลงทุน และการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะทำให้ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่นักลงทุนต่างขาติให้ความสนใจ
ขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาส 4/63 บริษัทยังคงแผนการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งกอง HREIT และ WHART พื้นที่รวม 180,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นการขายสินทรัพย์ให้กับ HREIT พื้นที่ 130,000 ตารางเมตร และกอง WHART พื้นที่ 50,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับเงินจากการขายสินทรัพย์เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/63 ราว 4-5 พันล้านบาท