บลจ.กรุงศรี มอง SET H2/63 ยังเสี่ยง-P/E สูง-ต่างชาติขายต่อเนื่อง แนะเก็บหุ้นปันผล-แบ่งซื้อทอง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 26, 2020 17:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิพุธ เอื้ออานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.กรุงศรี มองตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังยังมีความผันผวนและความไม่แน่นอน แม้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเร็วใกล้ระดับ 1,400 จุด ซึ่งต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 เพียงประมาณ 10% แต่มองภาพรวมจากนี้ดัชนีไม่น่าจะไปได้ไกล โดยใน 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าดัชนี SET จะอยู่ที่ 1,470 จุด

ปัจจุบัน ดัชนี SET เทียบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนพบว่าอยู่ในระดับสูง และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ โดยปัจจุบัน มี P/E อยู่ที่ 20.4 เท่า และในปี 64 คาด P/E ก็ยังสูงอยู่ที่ 16.3 เท่า เทียบกับอินโดนีเซียที่มี P/E ที่ 13.7 เท่า ฟิลิปปินส์ 14 เท่า

นอกจากนี้ ยังเห็นว่า นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นมีโอกาสน้อย เพราะความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านยังไม่มากนัก โดยในเดือน เม.ย.ต่างชาติขายสุทธิกว่า 1,400 ล้านเหรีญ พ.ค.ขายสุทธิใกล้ 1,000 ล้านเหรียญ และในเดือน มิ.ย.ขายสุทธิกว่า 400 ล้านเหรียญ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนหุ้นไทยยังเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ในระยะกลางและระยะยาว โดยอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรและตราสารหนี้ยังอยู่ระดับต่ำนานพอสมควร แต่ ณ ปัจจุบันตลาดหุ้นมีความผันผวนและมีความเสี่ยงอยู่ อาจไม่เห็นดัชนีปรับตัวหวือหวามากนัก ขณะที่ปัจจัยเรื่องการระบาดโควิด-19 รอบ 2 ก็ยังมีอยู่ ยกเว้นจะมีการพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จก็จะกลายเป็นจุดเปลี่ยน แต่คาดว่าน่าจะใช้เวลา1-2 ปีหรืออย่างเร็วในปีหน้า ดังนั้น จึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นปันผลและหุ้นที่มีการเติบโตดี

ด้านนายจาตุรันต์ สอนไว ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า การระบาดโควิด-19 ครั้งนี้กระทบอย่างหนักเป็นวงกว้างทั่วโลก โดยเฉพาะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศต่าง ๆ ซึ่งทางฝั่งยุโรปน่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาเป็นสหรัฐ ส่วนจีนและเอเชียแปซิฟิค (ยกเว้นญี่ปุ่น) ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาการณ์จีดีพีโลกลงมาเป็นติดลบ 4.9% ที่ผ่านมาธนาคารกลางหลายประเทศออกมาพยุงเศรษฐกิจด้วยการปรับลดดอกเบี้ย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 รอบ เหลือ 0.25% จาก 1.75%เป็นการปรับลดลงรุนแรงและรวดเร็ว รวมทั้งมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ (QE) ครั้งใหญ่ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น เพราะให้ความสำคัญกับ QE มากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ทั้งที่คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง ตลาดหุ้นจึงปรับตัวขึ้นสวนทางไม่แคร์ข่าวร้าย

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะต่อไปจะต้องจับตาปัจจัยการระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบสอง การผลิตวัคซีนที่คาดว่าจะใช้เวลา 12-18 เดือน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐคาดว่าจะยังต่ำอีกนาน 2 ปี ส่วนความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนมองว่าในช่วงนี้มีความเป็นไปได้น้อย เพราะจีนถือไพ่เหนือกว่า โดยจีนจะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีผลต่อฐานเสียงของพรรครีพับลิกัน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะจัดการโควิดได้ไม่ดี ทำให้มีผู้ติดเชื้อมาก

นายจาตุรันต์ แนะนำให้ค่อยๆ ทยอยลงทุน เน้นประเทศที่มีการทำ QE มากๆ ในกลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่ม Healthcare รวมทั้งลงทุนในประเทศที่มีการจัดการโควิด-19 ได้ดีและมั่นใจว่าจะไม่กลับมาระบาดระลอก 2-3 ซึ่งกลุ่มประเทศเอเชียมีโอกาสฟื้นก่อนยุโรป โดยจะเห็นตลาดหุ้นจีน เอเชียแปซิฟิคมีระดับ P/E ที่น่าสนใจ รวมทั้งแนะนำให้แบ่งลงทุนทองคำด้วย เพราะแนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ยังคงมีข่าวร้ายเป็นระยะ และเงินล้นตลาดไม่มีที่ไป

นายศิระ กล่องชา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่าปัจจุบัน ตลาดตราสารหนี้กลับมามีสภาพคล่องดีขึ้น หลังจากที่มีแรงขายหนักในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้เอกชนกลับมาได้บ้างแต่ยังไม่ปกติดี แต่ก็เห็นส่วนต่างผลตอบแทน(สเปรด)ระหว่างหุ้นกู้กับพันธบัตรรัฐบาลสูงอยู่ เพราะคนกลัวสภาพคล่องและคุณภาพเครดิตของบริษัทที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ใกล้ถึงจุดที่จะเข้าลงทุนหุ้นกู้เอกชนได้แล้ว

ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มดอกเบี้ยยังคงระดับต่ำนาน 1-2 ปีเพราะ IMF มองว่ากว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวคาดใช้เวลา 2 ปี ถึงจะกลับมาเท่าเดิม โดยกลุ่มประเทศพัฒนา ยุโรป อาจใช้เวลาฟื้นตัวนาน 2 ปี ส่วนกลุ่มประเทศ Emerging น่าจะฟื้นตัวกลางปีหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ