นายประวิทย์ โชติวัฒนาพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดอายุในเดือนพ.ย.นี้ วงเงิน 4 พันล้านบาท โดยจะไม่มีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม เนื่องจากได้เตรียมเงินรองรับการไถ่ถอนไว้แล้วจากกระแสเงินสดของบริษัท และเงินกู้จากสถาบันการเงินที่ได้รับอนุมัติวงเงินที่สามารถเบิกใช้ได้ราว 8 พันล้านบาท เพียงพอต่อการชำระคืนหุ้นกู้ทั้งหมด
ส่วนการขายโรงแรม Centre Point พัทยา เข้ากองทรัสต์ในปีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยอาจเลื่อนไปเป็นปี 64 แทน เพราะสถานการณ์และผลการดำเนินงานของโรงแรมในปีนี้ยังไม่กลับมาดีเหมือนในช่วงปกติ
สำหรับผลประกอบการของ QH ในปีนี้ บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะทำได้ตามเป้าหมาย 9.5 พันล้านบาท ตามแนวโน้มการโอนของลูกค้าที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะหยุดชะงักไปบ้างในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ในส่วนของยอดขายยังคงต้องลุ้นว่าการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้ยอดขายทั้งปีทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 9.5 พันล้านบาทหรือไม่
นายประวิทย์ กล่าวว่า แนวโน้มยอดขายในครึ่งแรกคาดว่าจะทำได้กว่า 3 พันล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 2/63 มองว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/63 ที่ระดับ 1.6 พันล้านบาท แม้จะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ประเทศในช่วงโควิด-19 ในเดือน เม.ย.ถึงกลางเดือน พ.ค.เข้ามาเต็มๆ ทำให้การขายที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง แต่หลังจากผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แล้วก็เริ่มเห็นลูกค้ากลับเข้ามาเยี่ยมชมและซื้อโครงการ ทำให้ยอดขายค่อยๆฟื้นกลับมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงต้องติดตามทิศทางของเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร หลังจากเศรษฐกิจยังชะลอตัว จึงต้องจับตาว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจได้หรือไม่ หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์มาค่อนข้างมาก และสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายมากขึ้น ทำให้ความเขื่อมั่นกลับมา ขณะที่บริษัทได้เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัท
"ยอดขายในปีนี้ยังต้องลุ้นว่าจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 9.5 พันล้านบาทหรือไม่ ก็ต้องรอดูว่าครึ่งปีหลังตลาดจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นมากไหม แม้ว่าตลาดแนวราบจะเติบโตมาก แต่การแข่งขันก็สูงจากผู้ประกอบการหลายรายที่มาทำแนวราบมากขึ้น และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอทำให้มีความท้าทายในการขายเข้ามามากขึ้น ก็มองว่ายอดขายทั้งปีถ้าหลุดเป้าไปก็น่าจะทำได้ราว 8-9 พันล้านบาท"นายประวิทย์ กล่าว
บริษัทยังจะเดินหน้าแผนการเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นแนวราบใหม่ทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวม 6.38 พันล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ได้แก่ ไตรมาส 3/63 เปิดขายโครงการ Q Prime สุขุมวิท 77 มูลค่า 2 พันล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 272 ยูนิต ซึ่งเลื่อนมาจากไตรมาส 2/63 , โครงการ วรารมย์ วัชรพล-เพิ่มสิน มูลค่า 2.26 พันล้านบาท บ้านเดี่ยว 339 ยูนิต และโครงการ Gusto สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ มูลค่า 712 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 290 ยูนิต และไตรมาส 4/63 จะเปิดโครงการ Q District สุขสวัสดิ์ 76 มูลค่า 1.4 พันล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์ 451 ยูนิต ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทวางไว้ 5 โครงการ หลังจากเปิดขายโครงการ Q เกษตร-นวมินทร์ บ้านเดี่ยว 1 ยูนิต 80 ล้านบาท ไปแล้วในไตรมาส 1/63
กลยุทธ์ในการขายและทำการตลาดในปีนี้ บริษัทได้หันมาเน้นผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่สนใจ ประกอบกับการนำโครงการของบริษัทที่สร้างเสร็จพร้อมโอนนำมาจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษเพื่อระบายสต็อก โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีสต็อกคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมโอนเหลือขายจำนวน 14 โครงการ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการแนวราบที่สร้างเสร็จพร้อมโอนมีจำนวน 59 โครงการมูลค่ารวม 3.35 หมื่นล้านบาท
นายประวิทย์ กล่าวว่า แนวโน้มการโอนของลูกค้ายังมีการโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาของไตรมาส 2/63 มาจากโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จ และโครงการในสต็อกที่จัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้า และยังมองว่าในครึ่งปีหลังจะมีการโอนเข้ามาต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ส่วนใหญ่มาจากโครงการแนวราบทั้งหมด 661 ล้านบาทที่จะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำทั้งอาคารสำนักงานให้เช่าและโรงแรม ได้รับผลกระทบด้านรายได้ที่เข้ามาบ้างจากโควิด-19 โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมทั้ง 2 แห่ง คือ โรงแรม Centre Point สีลม และโรงแรม Centre Point พัทยา อัตราการเช่าปรับลดลงต่อเนื่องและต่ำกว่า 50% และมีการปิดโรงแรมในช่วงล็อกดาวน์ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมของบริษัทอย่างมาก และคาดว่าธุรกิจโรงแรมในปีนี้จะยังไม่สดใสมากนัก เพราะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคงยังไม่กลับมาได้เร็ว ทำให้บริษัทต้องหันมาจับกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น ด้วยการทำแคมเปญออกมากระตุ้น
ด้านอาคารสำนักงานให้เช่าทั้ง 2 แห่ง คือ อาคาร Q HOUSE อโศก และ Q HOUSE สาทร ยังมีอัตราการเช่าที่ดีเฉลี่ยเกือบ 90% แต่บริษัทมีการช่วยเหลือลดค่าเช่าชั่วคราวให้ผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 บางราย เพื่อทำให้ลูกค้ายังสามารถเช่าพื้นที่ออฟฟิศในอาคารได้
นายประวิทย์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทคงจะใช้งบซื้อที่ดินในปีนี้ที่ตั้งไว้ 3 พันล้านบาทไม่ครบทั้งหมด เพราะบริษัทตัดสินใจที่จะไม่เร่งซื้อที่ดิน เพื่อรอจังหวะและโอกาสเหมาะสม ประกอบกับต้องการรอดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังให้ชัดเจนก่อน รวมทั้งบริษัทยังมีที่ดินเปล่าในมือที่ยังรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ได้อีก 2-3 ปี ดังนั้น ขณะนี้จะเน้นการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เพื่อทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัททำได้ตามเป้าหมายที่ 31-33%