ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ไม่มีประกัน SGP ที่ "BBB+" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 29, 2020 16:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน

ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันในสัดส่วน 70% ของบริษัทที่ระดับ "A" และหุ้นกู้มีการค้ำประกันในสัดส่วน 85% ที่ระดับ "A+" ด้วย โดยหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันนั้นได้รับการค้ำประกันบางส่วนจาก Credit Guarantee and Investment Facility (CGIF) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ "AAA" จากทริสเรทติ้ง

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงตำแหน่งที่เข้มแข็งของบริษัทในตลาดก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ LPG (Liquefied Petroleum Gas) ภายในประเทศ ตลอดจนการเติบโตที่แข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศ และการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่ครอบคลุม อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีปัจจัยลดทอนบางส่วนจากความต้องการภายในประเทศที่ยังคงอ่อนตัว ความอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคา LPG ในตลาดต่างประเทศ และแนวโน้มที่ภาระหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากโครงการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG (Liquefied Natural Gas)

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ตำแหน่งผู้ค้า LPG รายใหญ่อันดับสอง ตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยตลาด LPG ภายในประเทศนั้นมีผู้ค้ารายใหญ่เพียง 3 ราย โดยบริษัทเป็นผู้จัดจำหน่าย LPG รายใหญ่อันดับสอง ตามหลังผู้นำตลาดอย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งทางการตลาดจากยอดขายของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 25% ส่วนที่เหลือนั้นส่วนใหญ่เป็นของ ปตท. (41%) และ บมจ. ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) (18%) ซึ่งเป็นผู้ค้ารายใหญ่อันดับสาม

ความสามารถในการแข่งขันในประเทศไทยของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ แบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง และการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับตลาดภายในประเทศนั้น ราคา LPG อยู่ภายใต้การควบคุมและได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากรัฐบาล ซึ่งส่งผลทำให้กำไรต่อยอดขายของบริษัทค่อนข้างมีเสถียรภาพ

อุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ความต้องการ LPG ภายในประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยปริมาณการใช้ลดลงถึง 2%-7% ในแต่ละปี ความต้องการใช้ LPG ในภาคก๊าซหุงต้มซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด นั้นค่อนข้างคงตัว ในขณะที่การใช้ LPG ในภาคอุตสาหกรรมนั้นมีอัตราการเติบโตเล็กน้อย ส่วนตลาดที่อ่อนแอที่สุดยังคงเป็นตลาดยานยนต์ซึ่งมีความต้องการลดลงถึง 10%-15% ในแต่ละปี ทั้งนี้ ในปี 2562 การบริโภคภายในประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 3.8 ล้านตัน คิดเป็นอัตราที่ลดลง 5.3% จาก 4.01 ล้านตันในปี 2561

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าแนวโน้มความต้องการ LPG ภายในประเทศน่าจะยังคงซบเซาในระยะยาว โดยที่ความต้องการในภาคยานยนต์นั้นยังไม่เห็นสัญญาณว่าถึงจุดต่ำสุด ในขณะที่ในภาคก๊าซหุงต้มและภาคอุตสาหกรรมน่าจะคงตัวอยู่ได้เนื่องจากความจำเป็นของสินค้า แนวโน้มตลาดที่อ่อนแอส่งผลทำให้ผู้ค้ารายย่อยต้องทยอยออกจากตลาดหรือถูกควบรวมกิจการกับผู้ค้ารายที่ใหญ่กว่า นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงยังกดดันให้รายได้ของผู้ค้าอื่น ๆ หดตัวลงอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

การเติบโตที่ดีในตลาดต่างประเทศช่วยชดเชยการหดตัวของตลาดภายในประเทศ ยอดขายของบริษัทในตลาดต่างประเทศยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมากเพียงพอที่จะชดเชยยอดขายที่ลดลงของตลาดภายในประเทศได้ ทั้งนี้ ยอดขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 2.85 ล้านตันในปี 2562 จาก1.78 ล้านตันในปี 2558 ในทางตรงกันข้าม ยอดขายของตลาดภายในประเทศชค่อยๆ ลดลงจนเหลือต่ำกว่า 1 ล้านตันต่อปีในปี 2562

ในปี 2562 ยอดขายในตลาดต่างประเทศคิดเป็นเกือบสามในสี่ของยอดขายทั้งหมด โดยยอดขายในประเทศจีนยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดซึ่งคิดเป็น 31% ของทั้งหมด กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทมุ่งเน้นการขยายตลาดใหม่ ๆ เช่น บังคลาเทศ พม่า อินเดีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งความสำเร็จในการเปิดสู่ตลาดใหม่เหล่านี้จะช่วยให้สถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแรงมากขึ้นจากการสร้างความหลากหลายในเชิงพื้นที่และการลดการพึ่งพาตลาดจีนลง การเติบโตที่ต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศทำให้ยอดขายของบริษัทโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.86 ล้านบาทในปี 2562 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยรวมที่ระดับ 10% ต่อปี

มีเครือข่ายกระจายสินค้าที่ครอบคลุม ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าเครือข่ายการกระจายสินค้าทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือบริษัทส่วนใหญ่อย่างชัดเจน สำหรับในประเทศไทยนั้น บริษัทมีคลังเก็บ LPG ขนาดใหญ่จำนวน 8 แห่ง มีโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงมีรถและเรือขนส่ง LPG จำนวนมาก สำหรับในต่างประเทศ บริษัทมีคลังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ 2 แห่งในประเทศจีน มีคลังเก็บ LPG ลอยน้ำ 1 แห่งในประเทศสิงคโปร์ และมีกองเรือขนส่ง LPG

บริษัทได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์หลักเหล่านี้ซึ่งส่งผลให้มีต้นทุนการขนส่งที่แข่งขันได้ รวมถึงมีความสามารถในการจำหน่ายสินค้าได้ทั่วประเทศ และมีเสถียรภาพในการจัดส่งสินค้า สินทรัพย์ที่ตั้งอยู่นอกประเทศไทยนั้นยังช่วยทำให้บริษัทสามารถนำเข้า LPG มาจำหน่ายในประเทศไทย และจำหน่าย LPG ได้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกอีกด้วย

คาดว่ายอดขายจะลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทจะลดลงในปี 2563 ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้ปริมาณการใช้ LPG ลดลงไปอีก โดยในไตรมาสแรกของปี 2563 การบริโภค LPG ภายในประเทศลดลงเหลือ 0.901 ล้านตัน คิดเป็นอัตราที่ลดลง 6.4% จาก 0.962 ล้านตันในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน ยอดขายภายในประเทศของบริษัทในช่วงเดียวกันก็ลดลง 9.5% ด้วยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสยังสร้างผลกระทบต่อความต้องการในตลาดโลกโดยทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวอย่างฉับพลันและมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกด้วยเช่นกัน ยอดขายในต่างประเทศของบริษัทลดลง 12.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายในประเทศจีนนั้นลดลงอย่างมากถึง 36.2% อย่างไรก็ตาม หลังจากการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการ LPG จะฟื้นตัวกลับมาตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการแพร่ระบาดรอบที่สองยังคงมีโอกาสเกิดขึ้นได้

ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายโดยรวมของบริษัทจะลดลง 6%-7% ในปี 2563 หลังจากนั้นน่าจะฟื้นตัวได้ที่ระดับประมาณ 3%-8% ในปี 2564 และปี 2565 ส่วนรายได้นั้นคาดว่าจะลดลง 15% เหลือ 5.7 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ก่อนที่จะปรับขึ้นสู่ระดับ 6.9-7.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 2 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายโดยเฉลี่ยของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.3 พันล้านบาทต่อปี

กำไรมีความผันผวนจากราคา LPG ที่แกว่งตัว การที่บริษัทมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคา LPG นั้นถือเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิต โดยผลกำไรของบริษัทมีความไม่แน่นอนในแต่ละไตรมาสอันเนื่องมาจากธุรกิจการค้าในต่างประเทศของบริษัทได้รับผลกระทบจากราคา LPG ในตลาดโลกที่มีความผันผวนสูง การลดลงอย่างกระทันหันของราคา LPG อาจทำให้เกิดการขาดทุนสต๊อกสินค้าจำนวนมากซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลประกอบการทางการเงินของบริษัท

ทริสเรทติ้งคาดว่าความเสี่ยงจากราคา LPG ที่ผันผวนน่าจะเพิ่มมากขึ้นในระยะปานกลางจากแนวโน้มที่บริษัทจะขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านราคาก็ลดทอนลงบางส่วนจากการมีกำไรที่ค่อนข้างคงที่จากตลาดภายในประเทศ นอกจากนี้ ราคา LPG ที่อยู่ในระดับต่ำ ณ ปัจจุบันยังช่วยจำกัดความเสี่ยงจากราคาที่ลดลงอย่างหนักได้ด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังเห็นว่ารายได้ที่มั่นคงจากการลงทุนในโรงไฟฟ้า 2แห่งในประเทศเมียนมาและธุรกิจให้เช่าคลังเก็บน้ำมันจะช่วยป้องกันผลกระทบจากความเสี่ยงด้านราคา LPG ได้อีกด้วยเช่นกัน

ความเสี่ยงจากการพัฒนาโครงการนำเข้า LNG บริษัทวางแผนจะลงทุนสร้างท่าเรือขนาดใหญ่สำหรับนำเข้า LNG โดยเมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ซื้อกิจการทั้งหมดของ บริษัท ไทยพับลิคพอร์ต จำกัด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการนำเข้า LNG เนื่องจากบริษัทดังกล่าวเป็นเจ้าของท่าเรือน้ำลึกและที่ดินที่เหมาะสำหรับการก่อสร้างถังเก็บ LNG โดยการซื้อกิจการมีมูลค่าประมาณ 3.3 พันล้านบาท ในขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตก่อสร้างถังเก็บ LNG ในพื้นที่ของบริษัทไทยพับลิคพอร์ตดังกล่าว

ทริสเรทติ้งมองว่าโครงการนำเข้า LNG อาจจะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่บริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านการเงิน หากบริษัทยังดำเนินการตามแผนพัฒนาโครงการก็คาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 6 พันล้านบาท ในขณะเดียวกัน องค์ประกอบหลาย ๆ อย่างของโครงการนั้นก็ยังไม่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบธุรกิจ ตลาด วิธีการในการแข่งขันกับผู้ประกอบการที่ใหญ่กว่า เช่น ปตท. และที่สำคัญคือโครงสร้างแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการนี้

คาดว่าภาระหนี้สินจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนใหม่ แม้ว่าโครงการนำเข้า LNG ยังไม่มีความแน่นอน แต่ทริสเรทติ้งก็พิจารณาโครงการดังกล่าวแบบอนุรักษ์นิยมโดยได้รวมการลงทุนนี้ไว้ในกรณีฐานของทริสเรทติ้ง โดยโครงสร้างหนี้สินทางการเงินซึ่งวัดด้วยอัตราส่วนกระแสเงินสดต่อภาระหนี้ของบริษัทน่าจะด้อยลงในระหว่างการลงทุน อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินสุทธิน่าจะลดลงเหลือ 12% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอาจสูงกว่า 5 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอาจเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในการยืนยันอันดับเครดิตครั้งนี้สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีกำไรและบริหารสภาพคล่องอย่างรอบคอบตลอดช่วงเวลาในการลงทุน

มีสภาพคล่องเพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทนั้นจะมีเพียงพอ บริษัทไม่มีภาระในการชำระคืนหุ้นกู้ขนาดใหญ่ที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าในขณะที่ยังมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้ถึงประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท การใช้เงินทุนในอีก 12 เดือนข้างหน้านับจากสิ้นเดือนมีนาคม 2563 นั้นจะประกอบไปด้วยการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 0.9 พันล้านบาทและเงินลงทุนตามแผนจำนวน 2.1 พันล้านบาท ในขณะที่เงินสดที่บริษัทมีอยู่ในมือจำนวน 2.46 พันล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะมีอีกประมาณ 2 พันล้านบาทนั้นถือว่าเพียงพอที่จะรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว

ในส่วนของการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในหุ้นกู้นั้น บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 2 เท่า ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2563 อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ที่ 1.34 เท่า ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดในช่วงระยะเวลาที่คาดการณ์ได้

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

-ยอดขายในตลาดต่างประเทศของบริษัทจะลดลง 4%-5% ในปี 2563 ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% ในปี 2564 และ 4% ในปี 2565

-ยอดขายภายในประเทศจะลดลง 13% ในปี 2563 และจะเพิ่มขึ้น 3% ในปี 2564 จากนั้นจะคงที่ในปี 2565

-รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และจะอยู่ระหว่าง 6.9-7.3 หมื่นล้านบาทในปี 2564-2565

-อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 4%-5%

-เงินลงทุนโดยรวมของบริษัทจะเท่ากับ 2.1 พันล้านบาทในปี 2563 และประมาณปีละ 2.8 พันล้านบาทในปี 2564-2565

-อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 50% ของกำไรสุทธิ

แนวโน้มอันดับเครดิต" Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่แข็งแกร่งในการเป็นผู้จัดจำหน่าย LPG รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศไทยเอาไว้ได้ โดยกระแสเงินสดที่น่าเชื่อถือจากการดำเนินงานภายในประเทศจะช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงานในต่างประเทศ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าธุรกิจการค้าก๊าซในต่างประเทศจะยังคงทำกำไรได้แม้ว่าบริษัทจะเผชิญกับความเสี่ยงด้านราคาที่สูงขึ้นก็ตาม

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง แนวโน้มในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นนั้นมีจำกัดเนื่องจากแผนการลงทุนของบริษัทที่วางเอาไว้และความเสี่ยงด้านลบของความต้องการ LPG ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทนั้นด้อยลงอย่างมากเป็นระยะเวลานาน ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเกิดได้จากการลงทุนที่มากเกินไปจนส่งผลให้สถานะการเงินของบริษัทด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทสะท้อนคุณภาพเครดิตของทั้งผู้ออกหุ้นกู้และผู้ค้ำประกันคือ CGIF ซึ่งอันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านคุณภาพเครดิตของบริษัทหรือของผู้ค้ำประกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ