โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"และ"ซื้อเก็งกำไร" หุ้นบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) คาดหวังได้รับงานใหม่เพิ่มจากการร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งมีงานโยธาสายสีส้มตะวันตก มูลค่างาน 9 หมื่นล้านบาทในเดือน ก.ค.นี้ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มูลค่างานกว่า 8 หมื่นล้านบาท คาดจะเปิดประมูลในไตรมาส 3/63
นอกจากนี้ ยังมีโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ทยอยเปิดประมูล ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง คือเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และ เส้นทางบ้านไผ่-นครพนม คาดว่าจะเปิดประมูลภายในปีนี้
STEC ยังใกล้เซ็นสัญญาโครงการร่วมลงทุนในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ที่มีมูลค่างานก่อสร้าง 6 พันล้านบาท และเพิ่งได้รับงานจากโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกที่เซ็นสัญญาแล้ว โดยเฟสแรกมีมูลค่างาน 2-3 หมื่นล้านบาท ช่วยทำให้งานในมือ (Backlog) ทะลุ 1 แสนล้านบาท
พักเที่ยงราคาหุ้น STEC อยู่ที่ 15.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.32% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 1.48%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) หยวนต้าฯ T-Buy 23.20 ทิสโก้ ซื้อ 22.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ T-Buy 20.00 เคจีไอฯ Outperform 19.20 โนมูระ พัฒนสิน T-Buy 18.20
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อเก็งกำไร" STEC ราคาเป้าหมาย 23.20 บาท เนื่องจากมีโอกาสได้รับงานใหม่ จากการเข้าประมูลงานภาครัฐที่จะออกทีโออาร์ ได้แก่ งานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ทั้งนี้ STEC จะร่วมกับ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ในการเข้าประมูล มองว่ามีโอกาสได้รับงานโครงการสายสีส้มซึ่งมีทั้งงานโยธาที่มีมูลค่างาน 9 หมื่นล้านบาท และงานเดินรถ ส่วนสายสีม่วงใต้ มีงานโยธาอย่างเดียว มีมูลค่างานกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากไม่ได้สายสีส้ม ก็ยังมีโอกาสได้งานสายสีม่วงใต้เพราะจะแบ่งเป็น 3 สัญญาย่อย
STEC ได้วางเป้ารับงานใหม่ในปีนี้ 4 หมื่นล้านบาท โดยได้รับงานเฟสแรกของโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ที่มีมูลค่างานโยธาประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเริ่มงานในปี 65 และงาน O&M มอเตอร์เวย์ M6 และ M81 มูลค่างาน 6 พันล้านบาท ทำให้งานในมือ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มี 9 หมื่นล้านบาท โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรับรู้รายได้ที่ทยอยรับรู้ไปถึงปี 67
นอกจากงานโครงการรถไฟฟ้า 2 สายแล้วยังมีโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 ซึ่งมี 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และ เส้นทางบางไผ่-นครพนม ที่จะออกทีโออาร์ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ของ STEC อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1.48 พันล้านบาท เนื่องจากโครงการรัฐสภาไม่มีมาร์จิ้นจึงฉุดภาพรวมกำไร แต่ได้งานโครงการโรงไฟฟ้าที่มีมาร์จิ้นดีเข้ามาดึงมาร์จิ้นได้บ้าง
ด้านนายสุรชัย ประมวลกิจเจริญ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะ Trading สำหรับ STEC โดยมองเรื่องงานที่ได้เข้าประมูลในช่วงครึ่งหลังปีนี้ มี 2 โครงการ คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ โดยโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มประกาศขายเอกสารประมูล 10-24 ก.ค.นี้ ส่วนสายสีม่วงใต้คาดประมูลในปลายไตรมาส 3/63
อย่างไรก็ตาม งานในมือของ STEC ที่มีอยู่กว่า 8 หมื่นล้านบาท เป็นงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำประมาณ 4-5% ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการไม่ค่อยสดใส
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า STEC ได้รับงานโยธาเฟสแรก 2 หมื่นล้านบาทจากการลงนามในสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ที่คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างในครึ่งหลังปี 64 ขณะที่คาดว่าในดือนก.ค.63 ทีโออาร์โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะออกมา ที่มีงานโยธาราว 9 หมื่นล้านบาท โดยจะมี consortium สองกลุ่มเข้าร่วมประมูลโครงการนี้ ได้แก่ กลุ่มที่นำโดย BTS และกลุ่มที่นำโดยบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM)
ส่วนความล่าช้าของขบวนรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง STEC ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก STEC รับผิดชอบเฉพาะการก่อสร้างงานโยธา ดังนั้น จึงคาดว่าความล่าช้าที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบกับ STEC เพราะงานด้านระบบราง และการเปิดดำเนินการเป็นความรับผิดชอบของ BTS แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าประเด็นนี้จะส่งผลลบเล็กน้อยในแง่ที่ทำให้การเปิดดำเนินการบางส่วน ซึ่งเดิมคาดว่าจะเปิดในเดือนต.ค.64 ต้องล่าช้าออกไปอย่างน้อย 3 เดือนเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ เคจีไอฯ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" และให้ราคาเป้าหมายครึ่งแรกของปี 64 ที่ 19.20 บาท อิงจาก PER ที่ 26.5x (PER เฉลี่ยระยะยาว +1 S.D.) โดยเลือก STEC เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเนื่องจาก Backlog ฟื้นตัวได้ดีอยู่ที่ 9.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวม 2 หมื่นล้านบาท จากโครงการเมืองสนามบินอู่ตะเภาแล้ว และจะมี Backlog ใหม่เพิ่มเข้ามาอีกจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย มูลค่า 2 พันล้านบาท และงาน O&M มอเตอร์เวย์ 2 เส้นทาง รวม 5-6 พันล้านบาท ขณะที่อาจจะมี Backlog ก้อนใหญ่ ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท อีกจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มซึ่งถือเป็น upside ของ Backlog หากกลุ่มที่นำโดย BTS ชนะประมูล
บทวิเคราะห์ของ บล.ทิสโก้ ระบุว่า การที่กลุ่มบีบีเอส ซึ่ง STEC ร่วมถือหุ้นได้เซ็นงานสนามบินอู่ตะเภากับภาครัฐเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้คาดว่า STEC จะได้งานก่อสร้างโครงการราว 2-3 หมื่นล้านบาท ทำให้งานในมือกลับมาเหนือ 1 แสนล้านบาทอีกครั้ง นอกจากนี้ STEC ยังน่าจะได้สัญญา O&M ของมอเตอร์เวย์จำนวน 2 เส้นทาง รวมมูลค่า 5-6 พันล้านบาท ก็จะช่วยหนุนงานในมือของ STEC ให้เพิ่มขึ้นจาก 8.2 หมื่นล้านบาท ให้เกิน 1 แสนล้านบาทในช่วงไตรมาส 3/63 โดยงานในมือที่เพิ่มขึ้นจะช่วยผลักดันรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ขณะที่อัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นจากงานที่มีกำไรต่ำเริ่มลดลง
นอกจากงานในมือที่เพิ่มขึ้นแล้ว คาดว่ายังมีอีกหลายโครงการมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ที่จะเปิดประมูลในช่วงครึ่งหลังปี 63 เป็นต้นไป เช่น MRT สายสีส้ม (Q3), สายสีม่วง (Q4) และรถไฟทางคู่ 2 สาย