นายภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง (ACG) เปิดเผยว่า หุ้น ACG ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดยานยนต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.63 เป็นต้นไป สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯที่เพิ่มขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน
การย้ายเข้าซื้อขาย SET บริษัทมีความต้องการให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากขึ้น โดยปัจจุบันการกระจายผู้ถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) อยู่ที่ 24% ซึ่งมองว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยเกินไป ขณะที่ปัจจุบันครอบครัวถือหุ้นในสัดส่วน 74% ซึ่งหากนักลงทุนสถาบัน หรือพันธมิตรที่มีศักยภาพและช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ในอนาคต ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็มีความพร้อมที่จะขายหุ้นออกมาบางส่วน
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังคาดว่าจะสามารถเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้ โดยจะเน้นในส่วนของงานบริการซ่อมบำรุง เนื่องจากจะเป็นธุรกิจช่วยสนับสนุนการเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ "FASTFIT" ให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ทุกยี่ห้อ เพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น และด้วยเงินลงทุนที่ต่ำ จึงสามารถกระจายสาขาให้ทั่วภูมิภาคได้รวดเร็ว เบื้องต้นวางแผนจะเปิด 3-5 สาขาในจังหวัดภูเก็ต ด้วยเงินลงทุนราว 30-50 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ บริษัทยังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้ที่จะขยายสาขาให้ครบ 15 แห่ง ซึ่งจะพิจารณาตามช่วงเวลาที่เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะทยอยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังจากภาครัฐสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)ได้แล้ว คาดหวังว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาคึกคักได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
นายภานุมาศ กล่าวว่า บริษัทยังคงมั่นใจว่าผลประกอบการปี 63 จะไม่ออกมาติดลบอย่างแน่นอน แม้ว่ารายได้ปีนี้อาจจะไม่ได้เติบโตตามเป้าหมาย 10% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาครัฐดำเนินนโยบายปิดเมือง (Lock down) ซึ่งรวมถึงจังหวัดภูเก็ตที่เป็นที่ตั้งของสาขาหลักที่สร้างยอดขายส่วนใหญ่ให้กับบริษัท
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการคลายมาตรการ Lock down แล้ว ส่งผลให้กำลังซื้อรถยนต์ส่วนตัวเริ่มกลับมา โดยเฉพาะจากความกังวลการใช้บริการรถสาธารณะที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งบริษัทได้รับผลประโยชน์จากการที่มีสต็อกรถยนต์อยู่ในมือ เนื่องจากปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ทันตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น
"แม้ว่าในปีนี้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการคลาย Lock down แล้วทำให้ผู้ต้องการซื้อรถยนต์มากขึ้นเนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการใช้รถสาธารณะ ซึ่งบริษัทมีสต็อกในมือรองรับความต้องการซื้อของประชาชน ส่งผลให้เราสามารถทำมาร์จิ้นได้สูงขึ้นด้วย"นายภานุมาศ กล่าว