นายยุทธ ชินสุภัค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ (SPACK)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ยังไม่ยกเลิกแผนควบรวมกิจการกับ บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก(EPCO) เพียงแต่ชะลอออกไปก่อน เนื่องจากราคาหุ้น EPCO ปรับขึ้นมาสูงเกินกว่าต้นทุน และเชื่อว่าไม่กระทบกับแผนดำเนินงานปกติของบริษัท แต่ที่ต้องปรับลดเป้ารายได้ปีนี้เติบโตลดลงเหลือ 5-7% จากเดิมคาดไว้ 10% มาจากบาทแข็งและสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่มีผลต่ออุตสาหกรรมถุงมือยางที่เป็นลูกค้ารายใหญ่
"ไม่ได้บอกว่าหยุด ไม่ได้ถอดใจอย่างที่เป็นข่าว แค่ชะลอแผนควบรวมกับ EPCO เนื่องจากราคาหุ้น EPCO สูงเกินเหตุ โดยราคาปรับขึ้นมาจากมูลค่าหุ้นที่เราถืออยู่มากกว่า 50% ซึ่งทุนในบัญชีของเราอยู่ที่ 0.51 บาท/หุ้น แต่ตอนนี้ราคาหุ้นขึ้นมา 0.78 บาทจะให้ผู้ถือหุ้นผ่านเรื่องนี้คงลำบากช่วงนี้"นายยุทธ กล่าว
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทก็ยังไม่ได้มีการประชุมหารือในประเด็นดังกล่าว แต่เป็นการตัดสินใจในกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะชะลอออกไปเป็นเมื่อใด เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนไป โดยค่า PE ปรับขึ้นไปถึง 11-12 เท่าแล้ว จากที่เคยอยู่ในระดับ 8-9 เท่า
"จะพิจารณาอย่างไรต่อยังไม่รู้ตอนนี้เพราะ Fundamental ของตลาดเปลี่ยนไป พื้นฐานของตลาดปรับขึ้นไป... ความไม่แน่นอนในเมืองไทยมีเยอะมาก ตอนนี้อยู่ที่ว่าเงินนอกเมื่อไหรจะหยุดไหลเท่านั้นเอง"
อย่างไรก็ตาม การชะลอแผนควบรวมกิจการกับ EPCO ไม่ได้แผนงานด้านอื่น รวมทั้งการจ่ายปันผล
"เรามีเงินลงทุนของเราเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ธุรกิจก็ยังดำเนินเป็นปกติไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ยังตอบไม่ได้ว่าจะได้เห็นปีนี้หรือไม่ ส่วนปันผลยังจ่าย อะไรที่มีในอดีตก็มีต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง"นายยุทธ กล่าว
ปัจจุบัน SPACK ถือหุ้น EPCO ในสัดส่วน 24.58% ของทุนจดทะเบียน
*ปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ เหลือโต 5-7% เหตุศก.ภาคใต้ชะลอ-บาทแข็งฉุดส่งออก
นายยุทธ เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลงเหลือโตประมาณ 5-7% เท่านั้น จากก่อนหน้านี้ตั้งเป้าว่าจะโต 10% โดยปี 49 มีรายได้ 1,180 ล้านบาท เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าส่งผลกระทบกับบริษัททางอ้อม จากการที่บริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์ให้กับอุตสาหกรรมส่งออกเป็นหลัก รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ที่ส่งผลถึงด้านเศรษฐกิจ ทำให้อุตสาหกรรมถุงมือยางที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ได้รับผลกระทบไปด้วย
ในแง่กำไรสุทธิก็เป็นธรรมดาที่จะเป็นเงาตามตัวกับรายได้ โดยอาจเติบโตได้แค่ 5-7% ซึ่งโดยปกติธุรกิจในครึ่งปีหลังจะดีกว่าเพราะเป็น seasonal ของธุรกิจ แต่แนวโน้มในครึ่งหลังของปีนี้ขึ้นอยู่สถานการณ์ทางภาคใต้และภาพรวมของการส่งออกในประเทศจะเป็นอย่างไร
"ถ้ามีผลกระทบจะไม่กระทบโดยตรงแต่กระทบทางอ้อม ถ้ามีลูกค้าเราที่ส่งออกเขาเกี่ยวเพราะเราเป็น Packaging ถ้าลูกค้าเราส่งออกไม่ได้ กล่องเราขายจะดีได้ไหม ก็เป็นเงาตามตัว"นายยุทธ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่ชะลอคำสั่งซื้อ แต่เริ่มเห็นจากลูกค้าทางภาคใต้
นายยุทธ กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/50 คาดว่ารายได้จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ทรงตัวจากไตรมาส 1/50 ที่มีรายได้ 300.98 ล้านบาท และคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 /50 ตามฤดูกาลปกติของธุรกิจบรรจุภัณฑ์
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--