S รื้อแผนงาน 5 ปีเล็งลดงบฯ-เบรกลงทุนระยะสั้นรักษาสภาพคล่องหลังโควิดกระทบหนัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 1, 2020 16:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า จากผลกระทบโควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทเตรียมทบทวนแผนงานในช่วง 5 ปี (ปี 63-67) จากที่ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตแตะ 3 หมื่นล้านบาทภายในปี 67 ภายใต้งบลงทุนรวมเพื่อขยายธุรกิจกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท โดยจะนำแผนงานดังกล่าวมปรับใหม่ให้สอดคล้องกับการคาดการณ์ภาวะที่เกิดขึ้นและในอนาคตอาจเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะแผนการลงทุนในระยะสั้นจำเป็นต้องชะลอออกไปก่อน เพื่อรอความเหมาะสมของสถานการณ์ และพยายามไม่ก่อหนี้เพิ่ม พร้อมกับเน้นการบริหารและรักษาสภาพคล่องของบริษัทให้อยู่ในระดับที่ดี ทำให้บริษัทคาดว่างบลงทุนตามแผน 5 ปีจะต้องมีการปรับลดลง และคาดว่าการทำรายได้ตามแผน 5 ปีถือว่ามีความท้าทายค่อนข้างมาก

"แผนงาน 5 ปีที่วางไว้ก็อยู่ระหว่างการทบทวน มาดูความเหมาะสมกันใหม่ โดยเฉพาะการขยายธุรกิจที่มีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ระยะสั้นการลงทุนของเราจะชะลอไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ และรักษาสภาพคล่อง แต่ระยะยาวการลงทุนของเราก็จะยังคงมีอยู่ เพื่อขยายธุรกิจให้ได้ตาผนที่ตั้งไว้ ส่วนรายได้ก็คงมีผลกระทบไปด้วย ซึ่งก็จะทบทวนดูอีกครั้งตามแผนงานที่ได้ปรับมาแล้ว"นายนริศ กล่าว

สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 63 ถือว่าได้นับผลกระทบค่อนข้างมากจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมของ บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทลูก ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปิดโรงแรมในเครือทั้งหมดมาตั้งแต่เดือน มี.ค.เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ทำให้รายได้หายไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/63 ซึ่งได้รับผลกระทบเข้ามาเต็มทั้งไตรมาส ขณะที่ธุรกิจโรงแรมยังมีสัดส่วนต่อรายได้รวมมากถึง 54% จึงกระทบภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 63 อย่างมีนัยสำคัญ และทำให้รายได้รวมของบริษัทในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2 หมื่นล้านบาท

ส่วนธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก บริษัทได้ช่วยเหลือผู้เช่าโดยให้ส่วนลดค่าเช่า 50% และงดเก็บค่าเช่าชั่วคราวกับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อทำให้ลูกค้าที่เช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกของบริษัทยังสามารถเช่าพื้นที่กับบริษัทได้ต่อไป และปัจจุบันธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าถือว่าได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพียงเล็กน้อย และยังสามารถสร้างรายได้ประจำเข้ามาให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันบริษัทมีอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกทั้งหมด 4 อาคาร ได้แก่ อาคารซันทาวเวอร์ส อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ เดอะ ไลท์เฮ้าส์ และอาคารเมโทรโพลิศพื้นที่รวม 140,000 ตารางเมตร มีอัตราการเช่าเฉลี่ยราว 87% และมีสัดส่วนรายได้ 17% ของรายได้รวม

ด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาดรวม และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบต่อการขายที่อยู่อาศัยของบริษัท และบมจ.เนอวานา ไดอิ (NVD) ชะลอตัวลงไปในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จากการล็อกดาวน์ประเทศที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการได้ และได้มีการปิดสำนักงานขายชั่วคราว

ในส่วนของการขายโครงการแนวราบของ NVD ยังสามารถทำได้ดี แม้เผชิญกับการแข่งขันที่สูงจากผู้ประกอบการในตลาดหันมาขายโครงการแนวราบมากขึ้น ทำให้ต้องมีการจัดโปรโมชั่นออกมาแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น และเพิ่มช่องทางการขายผ่านออนไลน์ เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้

ขณะที่การขายโครงการคอนโดมิเนียมถือว่าพลาดเป้าไปค่อนข้างมาก จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้การขายหยุดชะงักไป ส่งผลให้โครงการคอนโดมิเนียม The EXTRO พญาไท-รางน้ำ มูลค่า 4 พันล้านบาทที่เปิดขายไปในช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันทำยอดขายได้เพียง 12% เท่านั้น จากเป้าหมายยอดขายรวมในปีนี้ที่ตั้งไว้ 8 พันล้านบาท

"หลังจากคลายล็อกดาวน์มากขึ้น เริ่มเห็นลูกค้า Walk-in เข้ามาเยี่ยมชมโครงการมากขึ้นทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบ ซึ่งบริษัทมองว่าการขายน่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ หลังจากมีการคลายล็อกดาวน์มาถึงเฟส 5 ทำให้บริษัทสามารถจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อกระตุ้นการขายในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ก็ถือว่าปีนี้ยอดขายที่อยู่อาศัยเราน่าจะพลาดเป้าไปค่อนข้างมาก"นายนริศ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าการขายโครงการในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้น เพราะโครงการของบริษัทส่วนใหญ่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและมีความสามารถในการซื้อ ทำให้มองว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนจะกลับมาได้เร็ว แม้ว่าปัจจุบันลูกค้าจะได้รับผลกระทบต่อธุรกิจบ้าง ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อไปก่อน แต่หากสถานการณ์คลี่คลายชัดเจนคาดว่าลูกค้าจะเริ่มกลับมาได้อย่างเร็ว โดยในช่วงนี้บริษัทได้มีการให้โปรโมชั่นและราคาพิเศษกับลูกค้าบางรายตามความเหมาะสม เพื่อดึงดูดให้ซื้อและโอนโครงการเร็วขึ้น แต่จะไม่ลดราคาขายแข่งกับผู้ประกอบการรายอื่น เพราะบริษัทมีสต็อกค่อนข้างน้อย และต้องการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์สิงห์ เอสเตทไว้

ด้านการโอนโครงการในปีนี้มองว่าจะได้รับผลกระทบบ้างจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีสัดส่วนราว 40% ชะลอการโอนออกไป จากผลของการปิดล็อกดาวน์ประเทศ และยังต้องติดตามว่าในช่วงครึ่งปีหลังลูกค้าต่างชาติจะสามารถเริ่มกลับมาเดินทางเข้าประเทศไทยได้ในช่วงใด และในช่วงไตรมาส 4/63 บริษัทจะเริ่มทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียม THE ESSE สุขุมวิท 36 มูลค่า 6.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ จากที่ขายไปแล้ว 60% ขณะที่โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส การขายยังคงทรงตัวอยู่ที่ 15% จากจำนวนวิลล่าทั้งหมด 26 ยูนิต

ในปีนี้บริษัทยังเดินหน้าก่อสร้างต่อเนื่องในโครงการ S Oasis พื้นที่ 53,000 ตารางเมตร ตามกำหนดเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 64 ส่วนแผนงานการก่อสร้างโรงแรมในเกาะที่ 3 ในมัลดีฟส์ร่วมกับพันธมิตรเมียนมาเลื่อนออกไปจากเดิมที่จะเริ่มในไตรมาส 2/63 ไปเป็นไตรมาส 3/63 ส่วนกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการจะเลื่อนจากเดิมเดือนพ.ย. 64 ไปเป็นเดือนก.พ. 65

ส่วนการลงทุนใหม่ๆในปีนี้บริษัทจะชะลอไปก่อน แต่ยังมองหาโอกาสในการลงทุนที่ดี หากมีดีลที่น่าสนใจเข้ามา ขณะที่บริษัทได้มีการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายลงมาตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เช่น ธุรกิจโรงแรม ได้ปรับลดเงินเดือนและค่าจ้างพนักงานลง รวมทั้งรับความช่วยเหลือจากสวัสดิการของรัฐที่เข้ามาดูแลพนักงาน และบริษัทยังได้ปรับลดเงินเดือน สวัสดิการ และเบี้ยประชุมของผู้บริหารบริษัทลงตั้งแต่เดือนเม.ย.-มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกับลดค่าใช่จ่ายด้านการตลาดลงในช่วงที่ไม่สามารถทำกิจกรรมได้ทำให้บริษัทยังมีสภาพคล่องที่ดีในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ทั้งนี้ภาพรวมในครึ่งปีหลังของปี 63 ยังคงต้องติดตามสถาการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 จะสามารถคลี่คลายลงชัดเจนได้หรือไม่ แม้ว่าในประเทศไทยจะสามารถคลี่คลายลงได้แล้ว แต่ในต่างประเทศยังมีการกลับมาระบาดรอบ2 และบางประเทศยังไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบต่อบริษัทด้วย เพราะบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศ และมีธุรกิจโรงแรมที่เป็นการลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งอิงกับธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบมาก จะต้องติดตามว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ หลังจากที่ทุกประเทศกลับมาเปิดประเทศและเปิดการบินตามปกติแล้ว ซึ่งถือว่าปีนี้การดำเนินธุรกิจเผชิญกับความท้าทายเข้ามามาก

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตัดสินใจเลื่อนการขายอาคารสำนักงาน Metropolis Bangkok พื้นที่ 13,300 ตารางเมตร เข้ากองทรัสต์ SPRIME ไปเป็นปี 64 จากกำหนดเดิมปลายปีนี้ เนื่องจากเห็นว่าต้องรีโนเวทปรับปรุงอาคารบางส่วนให้ดีขึ้น และในช่วงโควิด-19 มีผู้เช่าบางรายได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสตาร์ทอัพที่ยกเลิกการเช่าพื้นที่ไป ทำให้อัตราเช่าลดลงจากเดิมที่ 97% และยังอยู่ระหว่างหาผู้เช่ารายใหม่เข้ามาแทน โดยอาคารสำนักงาน Metropolis Bangkok บริษัทได้เข้าซื้อมาในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานที่อัตราการเช่าและค่าเช่าที่สูง ทำให้บริษัทมีรายได้ค่าเช่าเข้ามาทันที


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ