(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ตามภูมิภาค ,STGT เทรดวันแรกหนุนวอลุ่มตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 2, 2020 09:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างแกว่งไซด์เวย์กัน หลังสหรัฐฯมีความคืบหน้าของยาต้านไวรัสโควิด-19 ที่นำมาทดลองใช้กับคนแล้วได้ผลดี แต่ยังไม่ได้มีการผลิตเป็นวัคซีน ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นบ้าง

นอกจากนี้ราคาน้ำมันก็รีบาวด์หลังสต็อกน้ำมันในสหรัฐฯต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯก็เพิ่มขึ้นได้ดีกว่าตลาดคาดไว้ด้วย ส่วนเรื่องรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า เฟดควรจะมีคำอธิบายที่ชัดเจนมากขึ้นให้กับตลาดการเงิน เกี่ยวกับแนวทางในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

สำหรับบ้านเราตอนนี้ก็ยังไม่มีประเด็นใหม่เข้ามา แต่ก็ยังรอดูว่าจะมีมาตรการภาครัฐฯออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ อย่างมาตรการช็อปช่วยชาติ จะมีหรือไม่ และก็ให้รอดูการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/63 ซึ่งก็เริ่มที่กลุ่มแบงก์ก่อน โดยฝ่ายวิจัยก็คาดว่าผลประกอบการกลุ่มแบงก์จะปรับตัวลง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้อาจมีการปรับฐานก่อน พร้อมให้จับตาหุ้นเข้าใหม่ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ที่จะเทรดวันนี้วันแรก น่าจะช่วยเพิ่มวอลุ่มให้กับตลาดได้

พร้อมให้แนวรับ 1,333 จุด ส่วนแนวต้าน 1,360 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (1 ก.ค.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,734.97 จุด ลดลง 77.91 จุด (-0.30%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,115.86 จุด เพิ่มขึ้น 15.57 จุด (+0.50%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,154.63 จุด เพิ่มขึ้น 95.86 จุด (+0.95%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 60.95 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.26 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 136.38 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 9.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 10.02 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 2.68 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.35 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (1 ก.ค.63) 1,349.44 จุด เพิ่มขึ้น 10.41 จุด (+0.78%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,317.26 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 ก.ค.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (1 ก.ค.63) ปิดที่ 39.82 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ หรือ 1.4%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 ก.ค.) อยู่ที่ -0.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.02 อ่อนค่าจากวานนี้ แนวโน้มแกว่งแคบในกรอบ 30.95-31.05
  • สมาคมแบงก์เล็งขยายมาตรการ "พักชำระหนี้" ออกไป หลังเริ่มทยอยสิ้นสุดลง หวังหน่วงเวลารอเศรษฐกิจฟื้น เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ได้ ยอมรับแนวโน้มหนี้เสียเพิ่มแต่มั่นใจเงินกองทุนแบงก์ปึ๊ก ด้าน "ธปท." กำชับแบงก์ให้ความช่วยเหลือตามเหมาะสมแต่ละกลุ่ม ด้าน สอท.หนุนขยายมาตรการพักหนี้ออกไป อีก 2 ปี เพื่อต่อลมหายใจผู้ประกอบการ เตรียมเสนอแผนแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้นายกฯ ยอมรับสถานการณ์ส่อลากยาวกว่าคาด
  • กกร. ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 ใหม่ จีดีพีติดลบ 5-8% จากเดิมประเมินไว้ที่ติดลบ 3-5% ส่งออกติดลบ 7-10% และเงินเฟ้อติดลบ 1.0-1.5% หลังประเมินเศรษฐกิจไตรมาส 2 จะหดตัวสู่ตัวเลขสองหลัก เซ่นพิษโควิด-19 ระบาดหนัก ฉุดส่งออก-การท่องเที่ยว บวกกับแรงซื้อในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ พร้อมหวังเงินเยียวยา 4 แสนล้านบาทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง ขณะที่สภาหอฯ หวังนายกฯ คัดทีมเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนงานได้ทันที "อุตตม" ยืนยันเตรียมพร้อมใช้งบเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ลดผลกระทบจากโควิด-19 ที่หนักสุดในรอบ 150 ปี
  • นายกฯเข้าสภาฯ แจงพ.ร.บ.งบปี 64 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท ห่วงเศรษฐกิจมีความเสี่ยงหลังวิกฤติโควิด-19 ด้านฝ่ายค้านรุมยำ จัดงบแบบเก่า เน้นก่อสร้าง-สัมมนา จวกเป็นผู้นำแห่งการก่อหนี้ เป็นรัฐบาล 6 ปี ใช้เงินไปแล้ว 20 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจโตเพียงแค่ยิบมือ เศรษฐกิจดื้อยาขนาดหนัก ถือเป็น "มหาประยุทธภัย" ยิ่งถมเท่าไรก็ไม่กระเตื้อง หากยังใช้วิธีการแบบเดิม
  • ราคาทองคำพุ่งแตะ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สูงสุดรอบกว่า 8 ปี กูรูมั่นใจมีลุ้นทะลุไฮเดิมที่ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในปีนี้ เหตุเศรษฐกิจโลกยังอ่อนแอ ขณะที่กองทุนทองคำทั่วโลกแห่เข้าซื้อ จนถือครองรวม 3,510 ตัน เป็นสถิติสูงสุดใหม่
  • รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือน มิ.ย. 63 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 34.4 ในเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 38.5 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในเกือบทุกธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 50 แต่ดัชนีฯ รวมยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ค่อนข้างมาก แม้ปัจจุบันจะกลับมาเปิดเมืองได้เกือบเป็นปกติแล้ว แต่ผู้ประกอบการยังมีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับเดือนก่อน เพราะกังวลกำลังซื้อที่ลดลงและการรักษามาตรการเว้นระยะห่าง ทำให้รายได้ของธุรกิจยังกลับมาไม่มากนัก ซึ่งบางส่วนมองว่าอาจยังไม่คุ้มที่จะกลับมาเปิดให้บริการ

*หุ้นเด่นวันนี้

  • STGT (บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย)) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีราคาขาย IPO ที่ 34 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะ"ซื้อ"ให้เป้า 45 บาท (PE 21 เท่า) คาดกำไรปี 2563 +392% เป็น 3.1 พันล้านบาท กำไร Q1/63 คิดเป็น 14% ของทั้งปี แนวโน้มจะโตสูงตั้งแต่ Q2/63 เพราะรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาส ราคาขายปรับขึ้นเพราะอุปสงค์สูงมากและ supply ตึงตัว ราคา IPO คิดเป็น PE ปีนี้ 15.6 เท่า ต่ำกว่าคู่แข่งในมาเลเซียที่ 25 เท่า บริษัทได้เปรียบในด้านต้นทุนน้ำยางข้นที่มี STA เป็น supplier หลัก โรงงานอยู่ใกล้กัน ประหยัดค่าขนส่ง ขณะที่คู่แข่งในมาเลเซียต้องนำเข้าน้ำยางข้นจากไทย

STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่สุดในไทยและอันดับ 3 ของโลก (คู่แข่งอีก 4 รายอยู่ในมาเลเซีย) ด้วยกำลังการผลิต 3.26 หมื่นล้านชิ้นต่อปี ส่งออก 88% ตลาดหลักคือสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน อีก 12% ขายในประเทศ และมีแผนขยายกำลังการผลิตเป็น 5 หมื่นล้านชิ้นภายในปี 2567

  • ADVANC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 210 บาท คาดกำไร Q2/63 หดตัวแรง -16% Q-Q, -25% Y-Y เป็น 6.02 พันล้านบาท จากรายได้ที่ลดต่อเนื่อง -4% Q-Q, -8% Y-Y แม้ Fixed Broadband โตจากการ Work from Home แต่ชดเชยรายได้จากซิมท่องเที่ยวและ Roaming ไม่ได้ ขณะที่มีต้นทุนคลื่น 2600 MHz เข้ามาเต็มไตรมาส แต่ 2Q63 จะเป็น bottom ของปีนี้ การแข่งขันด้านราคาบรรเทาลง และการให้บริการ 5G จะหนุน ARPU ต่อไป โดยยังคงคาดกำไรปีนี้ -10% เป็น 2.8 หมื่นล้านบาท และ +2% ปีหน้า พร้อมยังเป็น Top pick ของกลุ่มจากความแข็งแรงทุกด้าน และคาดปันผล H1/63 ที่ 3 บ/หุ้น (yield 1.6%)
  • TVO (เคทีบี) "ซื้อ"ปรับเป้าขึ้นเป็น 29.75 บาท ได้ประโยชน์จากภัยแล้งในอาร์เจนติน่า และการบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองฟื้นตัวขึ้น โดยได้ปรับอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 12% จากเดิม 11.7% คาดว่าอุปทานจากอาร์เจนติน่าซึ่งเป็นผู้ผลิตกากรายใหญ่จะลดลงในปีนี้ ทำให้การแข่งขันจากกากถั่วเหลืองต่างประเทศลดลง ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันถั่วเหลืองเพื่อการบริโภคภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นช่วง Lockdown period จาก โควิด-19 รวมถึงราคาน้ำมันถั่วเหลืองปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B10 พร้อมปรับกำไรปกติปี 63 ขึ้น 4% มาอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท (+26% YoY) จากการปรับอัตรากำไรขั้นต้น โดย H1/63 TVO จะได้รับผลดีจากการบริโภคน้ำมันพืชที่สูงขึ้นจากภาคครัวเรือนเพราะโควิด-19 ขณะที่ใน H2/63 จะได้ประโยชน์จากความต้องการกากถั่วเหลืองที่ฟื้นตัวขึ้นจากการเลี้ยงปศุสัตว์กลับมาเพราะแรงจูงใจที่ราคาหมู ไก่ปรับตัวขึ้น ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 25% ใน 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะความต้องการน้ำมันถั่วเหลืองที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดยปัจจุบัน TVO เทรดที่ 2563 PER ที่ 12.9x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 14.0x

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ