นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวว่า ไตรมาส 2/63 (เม.ย.-มิ.ย. 63) บริษัทสามารถทำยอดขาย (Presale) ได้กว่า 6,400 ล้านบาท เพิ่มกว่า 32% จากไตรมาส 1/63 แบ่งสัดส่วนเป็น บ้านจัดสรร 30% และคอนโดมิเนียม 70%
ส่งผลให้ครึ่งแรกของปี 2563 (ม.ค.-มิ.ย.63) บริษัทมียอดขายสะสมแล้วกว่า 11,200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น บ้านจัดสรร 32% และคอนโดมิเนียม 68% ซึ่งคิดเป็นกว่า 52% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 21,500 ล้านบาท เบื้องต้นจึงมั่นใจว่า ภาพรวมทั้งปี 2563 มีโอกาสอย่างมากที่บริษัทจะสามารถทำยอดขายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยสาเหตุสำคัญที่ผลักดันยอดขายของบริษัทให้เติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง มาจากการกลยุทธ์การขายที่ตอบสนองกับสถานการณ์ตลาด ควบคู่ไปกับการปรับเดินเกมการตลาดเชิงรุก เพิ่มช่องทางขายสินค้าบุกแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น อาทิ การเปิด Official Store บนแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada รวมทั้งการผลักดันพนักงานให้ก้าวสู่ Micro Influencer ขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อสารส่วนบุคคล ภายใต้โปรเจ็คท์ Everyone can sell เพื่อเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจบ้านจัดสรร ภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด ถือเป็นธุรกิจที่เข้ามามีบทบาทในการสร้างยอดขายใหม่ให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ และได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด โครงการบริทาเนีย บางนา กม.12 โครงการบ้านเดี่ยวที่เปิดขายในช่วงปลายปี 2561 กำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการขาย เหลืออีกเพียงประมาณ 10 ยูนิต สะท้อนถึงความสามารถในการจัดหาทำเลที่เหมาะสม ความมั่นใจในคุณภาพที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์และโครงการบ้านจัดสรรในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จนทำให้มีอัตราการดูดซับโครงการบ้านจัดสรรที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 3-5 ปีขึ้นไป ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทจึงจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 1 โครงการในทำเลบางนา ภายใต้ชื่อ แกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
ขณะที่ช่วงไตรมาส 3/63 บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจบ้านจัดสรรอย่างต่อเนื่อง โดยจะเปิดโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่ เบลกราเวีย (BELGRAVIA) แบรนด์บ้านเดี่ยวหรูระดับราคา 20-35 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ ภายใต้ชื่อ โครงการเบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูล วิลล่า บางนา-พระราม 9 มูลค่าราว 1,600 ล้านบาท พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 4 มูลค่า 2,300 ล้านบาท และโครงการดิ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา มูลค่า 2,300 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่เปิดตัวในไตรมาส 3/2563 ทั้งสิ้น 6,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภาพรวมครึ่งปีหลังของปี 2563 บริษัทจะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมอีก 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท เริ่มจากในช่วงไตรมาส 3/2563 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช และ 2.โครงการ ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 และในช่วงไตรมาส 4/2563 อีก 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท 105, 2.โครงการ เคนซิงตัน ระยอง, 3.โครงการ ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้ และ 4.โครงการ ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน โดยภาพรวมเฉลี่ยมียอดขายแล้วประมาณ 80-90% คาดว่าหลังก่อสร้างเสร็จแล้ว จะช่วยสร้างทั้งยอดขายใหม่และยอดโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 73 โครงการ เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 114,000 ล้านบาท
2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร