นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) บมจ.การบินไทย (THAI) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการในเบื้องต้น เพื่อนำเสนอต่อศาลล้มละลายในวันที่ 17 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ศาลล้มละลายกำหนดนัดไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ
เบื้องต้นแผนฟื้นฟูจะมีทั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเชื่อว่ามีช่องทางที่จะสามารถดำเนินการให้สำเร็จได้ภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งกรรมการ ผู้บริหาร เจ้าหนี้ และลูกหนี้
"แผนฟื้นฟูขณะนี้ยังต้องรออีกระยะหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่เรียบร้อย เรามีที่ปรึกษาอยู่แล้ว...เตรียมไปยื่นศาลในวันที่ 17 สิงหาฯนี้ แต่ยังไม่ได้ละเอียดมาก เอาแค่ให้ศาลฯเห็นภาพว่าเราจะเดินอย่างไรต่อไป เราต้องพยายามทำให้เร็วที่สุด เราก็อยากทำให้เร็ว แต่บางครั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สภาพการแข่งขัน ก็มีเยอะ และความร่วมมือของกรรมการ ผู้บริหาร เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือทุกฝ่าย"นายชาญศิลป์ กล่าว
นายชาญศิลป์ กล่าวว่า ขณะนี้การบินไทยตั้งที่ปรึกษาเพื่อช่วยดูแลในด้านต่าง ๆ อย่างด้านกฎหมายจะมีบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ,ที่ปรึกษาด้านบัญชี ก็จะมีบริษัท อีวาย คอร์ปอเรท แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด ขณะที่บล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน รวมถึงยังมีที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบินอีกด้วย เพื่อร่วมกันจัดทำแผนฟื้นฟูในเบื้องต้น
ทั้งนี้ การบินไทยพยายามดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหนี้ก็มีการหารือตลอด ทั้งในส่วนของเจ้าหนี้หุ้นกู้ของกลุ่มสหกรณ์ , การเช่าเครื่องบิน , เงินกู้ธนาคาร ,น้ำมัน รวมถึงลูกค้าที่จองซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วแต่ยังไม่ได้เดินทาง ซึ่งเชื่อว่าจะมีช่องทางในการดำเนินการได้ เพราะตามกฎหมายล้มละลายที่เปิดช่องให้มีการฟื้นฟูกิจการนั้น มีไว้สำหรับให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้
สำหรับรายละเอียดของแผนฟื้นฟูกิจการเบื้องต้นเห็นว่ามีหลายแนวทางเพื่อให้มีความเหมาะสม เช่น ในส่วนของสินทรัพย์ที่ไม่คุ้มค่าก็ต้องวางแผนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป รวมถึงธุรกิจใดที่แข่งขันไม่ได้ ก็มีโอกาสที่จะเปิดให้เป็นการร่วมทุนหรือไม่ ตลอดจนการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งอาจต้องมีการลดทุนหรือเพิ่มทุน
ส่วนการกลับมาเปิดทำการบินของสายการบินไทยนั้น ยังต้องรอทางการออกประกาศเปิดน่านฟ้าระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการก่อน แต่ขณะนี้การบินไทย ซึ่งเน้นการบินระหว่างประเทศนั้นก็เตรียมพร้อมกลับมาเปิดทำการบินให้เร็วที่สุด ขณะที่ภาระหนี้น้ำมันที่เป็นต้นทุนหลักของสายการบินนั้น ในส่วนหนี้เก่าค้างจ่าย บมจ.ปตท. (PTT) ก็ต้องคงค้างไว้ก่อนหลังเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ แต่ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นใหม่จากการเปิดบินก็จะต้องเจรจาในรายละเอียดต่อไป