นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมของผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังมั่นใจว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นหลังจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง และการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศทำได้ดี ส่งผลบวกต่อฟื้นตัวกลับมาของธุรกิจโรงแรมและศูนย์การค้า โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่จะกลับมาฟื้นขึ้น จากการที่คนไทยหันมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น และภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศ
ทั้งนี้ โรงแรมในจังหวัดที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยรถยนต์ อย่าง หัวหิน ในช่วงสุดสัปดาห์เริ่มเห็นอัตราการเข้าพัก (OCC) กลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 90-100% และในช่วงวันธรรมดากลับมาอยู่ที่ 50% หลังจากลดลงไปอย่างในช่วงไตรมาสแรกและหายไปในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งบริษัทคาดว่าโรงแรมในกรุงเทพฯและจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ จะเริ่มฟื้นกลับมา
ขณะที่บริษัทได้เข้าร่วมมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐด้วย โดยมอบโปรโมชั่นส่วนลด 50% ของโรงแรมในเครือในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 63 และส่วนลด 30% ในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.63 พร้อมกับจะมีโปรโมชั่นอื่นๆ ตามมา เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวของคนในประเทศ โดยธุรกิจโรงแรมมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 60% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทมีโรงแรมทั้งหมด 14 แห่งในประเทศ จำนวนห้อง 4,421 ห้อง
ส่วนธุรกิจศูนย์การค้าทั้ง 9 แห่ง เริ่มกลับมาเปิดให้บริการในช่วงแรกของการผ่อนคลายล็อกดาวน์ จำนวนผู้เข้ามาใช้บริการยังมีไม่มาก แต่เริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน มิ.ย.เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะศูนย์การค้า เกตเวย์ เอกมัย ที่จำนวนผู้ใช้บริการกลับมาเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับช่วงปกติที่ประมาณกว่าหมื่นคนต่อวัน
แต่ปัจจัยที่กดดันรายได้ของธุรกิจศูนย์การค้าในช่วงที่ผ่านมา คือ การลดค่าเช่าให้กับผู้เช่า 50% ในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้รายได้ค่าเช่าลดลงไปบ้าง แต่ถือเป็นการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้าให้ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และยังสามารถเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม จากสถานการ์ณของจำนนผู้ใช้บริการที่กลับมาเพิ่มขึ้น ส่งผลหนุนให้ธุรกิจของผู้เช่ากลับมาฟื้นขึ้นตามไปด้วย และผู้เช่าสามารถกลับมาจ่ายค่าเช่าในอัตราปกติได้แล้ว โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของธุรกิจศูนย์การค้าอยู่ที่ 18%
ด้านธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่ายังสร้างรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากผู้เช่าทุกรายยังสามารถชำระค่าเช่าได้ตามปกติ ทำให้รายได้จากธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่ายังคงหนุนภาพรวมของบริษัทได้บ้าง แม้ว่าจะมีสัดส่วนเพียง 22% แต่ถือว่าเป็นปัจจัยหนุนที่ดีในการสร้างกระแสเงินสดเข้ามา และเริ่มเห็นความต้องการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานในรูปแบบ Co-working มากขึ้น ทำให้บริษัทมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนเป็น Co-working เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ทำให้สร้างรายได้เข้ามามากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม270,594 ตารางเมตร มีอัตราการเช่ากว่า 90%
"ภาพธุรกิจในระยะสั้นอย่างปีนี้คงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เข้ามามาก โดยเฉพาะพอร์ตธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นพอร์ตใหญ่สุด และธุรกิจศูนย์การค้า ที่ทั้งคู่ถูกผลกระทบจากโควิด-19 เข้ามาเต็มๆ แต่มองว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 มีโอกาสกลับมาโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการที่ประเทศไทยสามารถควบคุมโควิด-19 ได้ดี การผ่อนคลายล็อกดาวน์ และการที่คนไทยหันมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น อีกทั้งยังได้ภาครัฐหนุน แต่ผลงานในปีนี้ก็คงจะทำได้ไม่เท่าปีก่อน เพราะครึ่งปีแรกถูกผลกระทบเข้ามามาก และก็ค่อยๆดีขึ้นในครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปปีหน้าที่ตลาดเริ่มกลับมา"นางวัลลภา กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ล็อกดาวน์ที่มีการปิดโรงแรมและศูนย์การค้า บริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายลงค่อนข้างมากเฉลี่ย 80% เพื่อทำให้ธุรกิจมีต้นทุนลดลง และมีกระแสเงินสดและสภาพคล่องที่เพียงพอ ประกอบกับการที่บริษัทมีหนี้สินไม่สูงมาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.4 เท่า ทำให้บริษัทมีภาวะดอกเบี้ยและต้นทุนการเงินที่ไม่มาก ทำให้บริษัทยังมีความแข็งแกร่งในฐานะทางการเงิน
สำหรับแผนระยะยาว 5 ปี (ปี 63-67) ที่บริษัทได้วางไว้ยังคงใช้งบลงทุนตามแผนเดิมที่ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงแรมใหม่ๆและปรับปรุงโรงที่เปิดให้บริการอยู่ ซึ่งในสิ้นปี 67 บริษัทจะมีจำนวนโรงแรมทั้งสิ้น 27 แห่ง จากปัจจุบัน 14 แห่ง และมีจำนวนห้องจำนวนห้องพักเพิ่มเป็น 8,506 ห้อง และใช้ในการเพิ่มพื้นที่เช่าของศูนย์การค้าเป็น415,481 ตารางเมตร ทั้งโครงการส่วนต่อขยายของเอเชียทีค และโครงการใหม่อื่นๆ
เงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องกว่า 6 พันล้านบาท/ปี และมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินรองรับอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นบริษัทยังสามารถออกหุ้นกู้ โดยมีวงเงินได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้ากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ตามแผน 5 ปีจะเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ด้วยการเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง และหาโอกาสใหม่ๆในการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งยังคงเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลักก่อน ยังไม่มีแผนการขยายการลงทุนออกไปต่างประเทศ