บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) คาดว่าในปี 50 กำไรสุทธิจะเติบโตถึง 15-20% จากปี 49 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของรายได้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 10-15% เนื่องจากธุรกิจโรงแรมสามารถทำกำไรได้ดี หลังมีการปรับราคาค่าห้องพัก 15% ในช่วงที่ผ่านมา และอัตราการเข้าพักยังสูง โดยเฉพาะในไตรมาส 2/50 สูงเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งจำนวนโรงแรมที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ในด้านธุรกิจอาหารยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้กำลังศึกษาการซื้อแบรนด์เครื่องดื่มใหม่ที่จะนำมาขยายแฟรนไชส์ คาดว่าจะลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท
น.ส.ประภารัตน์ อังคะวัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน MINT กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้น่าจะสูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเติบโตประมาณ 10-15% โดยสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจอาหาร 55% ธุรกิจโรงแรมและสปา 44% ที่เหลือเป็นรายได้ของกลุ่มเรสซิเด้นท์
แต่ในด้านกำไรสุทธินั้น กำไรจากธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของกำไรทั้งหมด ซึ่งสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีกว่าธุรกิจอาหารค่อนข้างมาก และในไตรมาส 2/50 ยอดเข้าพักโรงแรมในเครือเติบโตกว่าเท่าตัวจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเชื่อว่าในช่วงไฮซีซั่นจะมียอดเข้าพักในอัตราที่สูง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปีก่อนทั้งปีอาจจะไม่สูงเท่า
นอกจากนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีโรงแรมในเครือเปิดใหม่ถึง 5 แห่ง ซึ่งเป็นตัวช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัท
น.ส.ประภารัตน์ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจอาหารนั้น บริษัทมีเป้าหมายขยายแฟรนไชส์ร้านอาหารในเครืออย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในต่างประเทศมีเป้าหมายขยายให้ได้ 300 แห่งภายใน 4 ปี จากขณะนี้ 70 แห่ง โดยก่อนหน้านี้ได้ขยายไปยังจีนและตะวันออกกลางแล้ว
พร้อมกันนั้น ยังจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ในประเภทเครื่องดื่ม เพื่อให้มีสินค้าครบวงจร โดยอยู่ระหว่างเจรจาซื้อแบรนด์ใหม่ที่เตรียมเงิน ลงทุนไว้ประมาณ 1.5 พันล้านบาท
"ตอนนี้เรามีธุรกิจไอศครีม พิซซ่า และอาหารต่างชาติ ที่เกือบจะครบวงจรแล้ว ขาดแต่เครื่องดื่มและอาหารต่างชาติบางชนิดที่เราศึกษาและจะเข้าไปลงทุนเพิ่ม และสามารถเป็นธุรกิจที่ทำแฟรนไชส์ได้"น.ส.ประภารัตน์ กล่าว
ปัจจุบัน MINT มีโรงแรมทั้งหมด 15 แห่งในเครือทั้งในประเทศไทย มัลดีฟส์ และ เวียดนาม มีสปา 23 แห่ง ในไทย จีน และตะวันออกกลาง ภายใต้แบรนด์"มันดารา"และ"อนันตรา" และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการระดับ Hi-end หลายแห่ง รวมทั้งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านอาหาร 600 แห่งภายใต้แบรนด์เดอะพิซซ่า สเวนเซ่น ซิสเลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง และเลอ'แจ๊ส ภายใต้บริษัท ไมเนอร์ฟู๊ด
น.ส.ประภารัตน์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุน 4.0-4.5 พันล้านบาท จากแผน 4 ปีที่ตั้งงบลงทุนทั้งหมด 1.2 หมื่นล้านบาท โดยกว่า 70% จะใช้ลงทุนในธุรกิจโรงแรม เช่น โรงแรมอนันตรา ภูเก็ต และเขาหลัก และ 10-15% จะลงทุนในธุรกิจเรสซิเด้นท์ ที่เหลือเป็นธุรกิจอาหาร
เงินลงทุนที่จะนำมาใช้จะมาจากผลดำเนินงานทั้งหมด และบริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้เพื่อนำมารีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิม เนื่องจากขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง เพราะจะได้ต้นทุนที่ถูกลง โดยบริษัทมีวงเงินออกหุ้นกู้ที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งคงจะไม่ได้จะออกทั้งจำนวน แต่จะพิจารณาตามความเหมาะสม
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--