นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ จะเปิดรับคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ Cloud Computing อิควิตี้ (TCLOUD) อีกครั้งในวันที่ 16 ก.ค.63 พร้อมทั้งเพิ่มมูลค่าโครงการอีก 2,000 ล้านบาทเป็น 4,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท เนื่องจากการเปิดขายรอบแรกในช่วง 29 มิ.ย.-13 ก.ค.ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดีจนเต็มวงเงินโครงการที่ 2,000 ล้านบาท ทำให้ บลจ.ทิสโก้ต้องประกาศหยุดการรับคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนไปตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.63 เวลา 15.00 น.
กองทุนเปิด ทิสโก้ Cloud Computing อิควิตี้ (TCLOUD) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) เป็นกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี‘คลาวด์ คอมพิวติง’ (Cloud Computing) หรือระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ ผ่านกองทุนอีทีเอฟ Global X Cloud Computing ETF (กองทุนหลัก)
ทั้งนี้ กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
นายสาห์รัช กล่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่ลูกค้าให้ความสนใจลงทุนในกองทุน TCLOUD เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นหนึ่งในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ ซึ่ง 2 กองทุนที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ที่เสนอขายโดย บลจ.ทิสโก้ก่อนหน้านี้สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างน่าพอใจ นักลงทุนจึงเชื่อมั่นว่ากองทุนนี้ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีเช่นกัน
นอกจากนี้ กองทุน TCLOUD ยังเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีนโยบายลงทุนที่โดดเด่น เพราะมีนโยบายเน้นลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากคลาวด์โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดให้ซื้อขายหน่วยลงทุน TCLOUD ได้อีกครั้งอาจทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปจากราคา IPO ได้ แต่บลจ.ทิสโก้ยังแนะนำให้ผู้ลงทุนเน้นลงทุนในระยะยาวในกองทุนเมกะเทรนด์เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
สำหรับธุรกิจคลาวด์ คอมพิวติงยังมีโอกาสเติบโตได้ดีรออยู่ ทั้งจากการเข้ามาของ Internet of Things (IoT) ในยุค 5G เพราะจะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวผู้บริโภคเชื่อมต่อและสั่งการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้อย่างหลากหลาย และคลาวด์ยังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น ผ่านการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Google, Dropbox, Facebook, Zoom รวมถึงภาคธุรกิจที่เร่งนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น การใช้ Big Data มาจับพฤติกรรมผู้บริโภค และปรับเปลี่ยนธุรกิจมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้นรับกับยุค New Normal โดยมีโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดเร็วขึ้น
บริษัทที่กองทุนหลักเข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่มีโอกาสสร้างรายได้จากการเจริญเติบโตของธุรกิจ ตัวอย่าง เช่น Zoom Inc ผู้ให้บริการ Video Conference และ Online Chat บน Cloud ซึ่งได้รับความนิยมมากในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID -19 ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 300 ล้านคนต่อวันและเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูงตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป มีรายได้เติบโตสูงถึง 88% ในปีล่าสุด 62
รวมทั้ง Shopify Inc ผู้ให้บริการระบบ E-commerce สำเร็จรูป ที่มีร้านค้าบนระบบกว่า 1 ล้านร้านค้า มีกระแสเงินสดจากการเก็บค่าบริการรายเดือน มีรายได้เติบโตสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้เติบโตถึง 59% ในปี 2561 และ 47% ในปี 62, บริษัท ซี-สเกลเลอร์ (Zscaler) ผู้นำด้านการให้บริการ Web Security และผู้ให้บริการ Cloud ระดับโลก โดยมีลูกค้าองค์กรชั้นนำเลือกใช้งาน มีรายได้เติบโต 52% ในปี 61 และ 59% ในปี 62 และ Twilio Inc บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการสื่อสารบน Cloud ระหว่างซอฟแวร์ด้วยกัน มีอัตราการเติบโตของรายได้ 63% ในปี 61 และ 74% ในปี 62 (ที่มา: globalxetfs Fund Fact Sheet ณ วันที่ 31 มี.ค.63)