ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 มีกำไรสุทธิจำนวน 5,324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,033 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.1 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนกำไรก่อนหักสำรองและภาษีมีจำนวน 9,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.6
ในภาพรวม ธนาคารมีการขยายตัวดีด้านสินทรัพย์และมีกำไรสูงขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยต่างเพิ่มขึ้นในขณะที่ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง และธนาคารยังคงสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้ในระดับเดิม
ในไตรมาสที่ 2 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 11,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2549 จำนวน 1,018 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.6 เนื่องจากมีเงินกู้ยืมครบกำหนดบางส่วน เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมลดลง 339 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.95 ในปีที่แล้ว เป็นร้อยละ 3.15
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 1,216 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.2 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 6,468 ล้านบาท โดยธนาคารมีกำไรจากการจำหน่ายตราสารทุนและตราสารหนี้สุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,463 ล้านบาท ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการมีจำนวน 3,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ในขณะที่กำไรจากการปริวรรตมีจำนวน 628 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2 ลดลง 173 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 8,704 ล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องจากสำรองด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายลดลง ดังนั้นสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จึงลดลงจากร้อยละ 56.1 ในไตรมาสที่ 2 ปี 2549 เป็นร้อยละ 48.2 ในไตรมาสนี้
ธนาคารมีค่าใช้จ่ายภาษีสูง จำนวน 2,613 ล้านบาท เนื่องจากมีการปรับปรุงการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล เพิ่มขึ้น 807 ล้านบาท จากการที่ธนาคารไม่สามารถนับรายจ่ายพิเศษเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ได้โอนออกบางรายการให้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีในปี 2549
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 ธนาคารมีสินเชื่อ 984,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 จากสิ้นปี 2549 โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นที่สินเชื่อสำหรับลูกค้าขนาดย่อย ลูกค้าขนาดกลาง ลูกค้าบุคคล และลูกค้าสาขาต่างประเทศ ส่วนเงินฝากมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เป็น 1,278,034 ล้านบาท
สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 มีจำนวน 90,333 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.1 ของสินเชื่อรวม โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมอีก 1,427 ล้านบาท เป็นผลให้สำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมียอดสะสม 71,108 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 78.7 ของสินเชื่อด้อยคุณภาพ
ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 มีจำนวน 157,685 ล้านบาท และหากนับรวมกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ด้วยแล้ว ธนาคารจะมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ประมาณร้อยละ 16.2 และร้อยละ 12.7 ตามลำดับ โดยธนาคารมีกำไรต่อหุ้นในไตรมาสนี้เท่ากับ 2.79 บาท
--อินโฟเควสท์ โดย อภิญญา วุฒิเมธากุล/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--