นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.วาว แฟคเตอร์ (W) เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจในการลงทุนซื้อธุรกิจอาหาร"Domino’s Pizza"ว่าจะให้ผลตอบแทนคุ้มค่า แม้ว่าที่ปรึกษาการเงินอิสระ (IFA) ให้ความเห็นว่าผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการทำรายการดังกล่าวเนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยง
"เราไม่ได้กังวลใจ เนื่องจากสิ่งที่ IFA มองส่วนใหญ่ก็สอดคล้องกับมุมมองของเราต่อธุรกิจนี้ ทั้งเรื่องประโยชน์จากการเข้าลงทุน ความเสี่ยงของธุรกิจ ซึ่ง IFA ก็มองว่าเป็นความเสี่ยงตามปกติของธุรกิจนี้และเรามีแผนรับมือความเสี่ยงไว้แล้ว"นายศิรัตน์ กล่าว
ประเด็นที่ IFA เห็นต่างนั้นบริษัทมองว่าเป็นการมองธุรกิจในมุมที่ต่างกัน เช่น ค่าตอบแทนการซื้อธุรกิจที่ IFA มองว่าสูงกว่ามูลค่าธุรกิจที่ประเมินไว้ โดยสมมติฐานเกือบทั้งหมดที่ IFA ใช้ประเมินมูลค่ากิจการแทบจะไม่ต่างกับที่บริษัทประเมิน แต่จุดที่ต่างกันคือเรื่องการเติบโตของจำนวนบิลต่อสัปดาห์ต่อสาขา (AWO) ที่ IFA มองอิงตามการเติบโตของยอดขายของแต่ละสาขาที่ 5.5% ต่อปี แต่บริษัทมองการเติบโตที่ 15% ต่อปี ในช่วงปี 65-66 และเติบโตประมาณ 4.6% ต่อปีในปีที่เหลือ
นายศิรัตน์ กล่าวว่า สาเหตุที่มองเช่นนี้ เนื่องจากเห็นจุดแข็งของแบรนด์และจุดที่สามารถปรับปรุงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งได้อีก และมั่นใจว่าจะทำได้ทันทีในปีแรกที่เข้าลงทุน โดยเฟสแรกคือการปรับปรุงรูปแบบ Website ให้สะดวกและง่ายต่อการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น รวมถึงการพัฒนาความระบบขนส่งสินค้าและ Call Center ให้มีมาตรฐาน การนำระบบเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ
และที่สำคัญที่สุดคือการปรับปรุงมาตรฐานของแป้งและหน้าพิซซ่าให้คงที่ ซึ่งไม่ว่าลูกค้าจะสั่งจากสาขาไหนหรือด้วยวิธีการไหนความอร่อยและมาตรฐานของสินค้าต้องเท่ากัน และเราก็มีแผนจะออกพิซซ่าหน้าใหม่ๆ ที่ถูกปากคนไทย และเหมาะสมกับแต่ละเทศกาลอีกด้วย ซึ่งหากทำได้ตามแผน การเพิ่มยอดขายอย่างก้าวกระโดดในปี 65-66 ก็มั่นใจว่าเป็นไปได้
นายศิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนครั้งนี้ W ได้ใช้เวลาศึกษามาเป็นปีจนมั่นใจว่าจะเป็นดีลที่นำไปสู่มิติใหม่ของธุรกิจอาหารของ W ได้ แม้ว่าการซื้อธุรกิจในครั้งนี้จะใช้เม็ดเงินประมาณ 426 ล้านบาท แต่ก็ได้ชั่งน้ำหนักแล้วว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากการได้มาซึ่งสิทธิในแฟรนไชส์ระดับโลกเช่นนี้แทบจะไม่ได้มีให้เห็นในประเทศไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา
"Domino’s Pizza เป็นแบรนด์ที่ใหญ่มาก หากเทียบจำนวนสาขาแฟรนไชส์เฉพาะนอกสหรัฐอเมริกาของ Starbucks และ Domino’s Pizza พบว่ามีขนาดใกล้เคียงกัน ดังนั้น ดีลนี้อาจเป็น "Once in a life time" ของเราเลยก็ว่าได้"นายศิรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ การซื้อธุรกิจในครั้งนี้จะได้ร้านพิซซ่าที่พร้อมบริหารได้เลยทันที 27 สาขา พร้อมทั้งครัวกลาง รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก DPI ทั้งเรื่อง Knowhow การพัฒนาธุรกิจ รวมถึงระบบ IT และ Call Center ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันกับร้าน Domino’s Pizza ทั่วโลก จึงมั่นใจว่าการจะเดินไปสู่ความสำเร็จเป็นไปได้สูง เช่นเดียวกับผู้รับสิทธิในการทำธุรกิจนี้จาก DPI ในหลายๆ ประเทศที่สามารถสร้างธุรกิจจนมีมูลค่าเป็นหมื่นล้านได้
สำหรับประเด็นเรื่องเงื่อนไขการซื้อขายกิจการที่ W ทำกับผู้ขายไม่เป็นธรรมนั้น นายศิรัตน์ กล่าวว่า เงื่อนไขดังกล่าวได้ผ่านการเจรจามาอย่างยาวนานและบริษัทได้ใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดในการเจรจาจนได้มาซึ่งเงื่อนไขตามที่ได้เปิดเผยต่อผู้ถือหุ้นแล้ว และเป็นเงื่อนไขสุดท้ายที่ผู้ขายจะยินยอมสำหรับการขายธุรกิจครั้งนี้ มากไปกว่านั้น W ก็ไม่ใช่เจ้าเดียวที่สนใจซื้อธุรกิจนี้จากผู้ขาย
ส่วนประเด็นที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะขาดทุนในช่วงแรกของการลงทุนและจะเริ่มเห็นกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) หลังปีที่ 5 นั้น นายศิรัตน์ กล่าวว่า เราทราบดีในเรื่องผลขาดทุนในระยะแรก และได้เตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องเม็ดเงินที่ต้องใช้ และแผนพัฒนาธุรกิจเพื่อรองรับผลขาดทุนและพลิกฟื้นกิจการให้มีผลกำไรโดยเร็ว โดยจากการคาดการณ์ของเราหากพิจารณาในมุมกระแสเงินสด (EBITDA) จะพบว่า EBITDA ของกิจการจะเริ่มเป็นบวกในปี 65 หรือใช้เวลาเพียง 3 ปี หลังการเข้าลงทุน
นายศิรัตน์ กล่าวอีกว่า W เดินมาถูกทางในธุรกิจอาหาร โดยแม้ว่าช่วงปัจจุบันที่หลายๆ คนมองว่าเป็นช่วงซบเซาของแทบทุกธุรกิจเนื่องจากผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่ปรากฎว่าในเดือนที่ผ่านมาร้านอาหารแทบทุกร้านของกลุ่ม W กลับมีผลประกอบการที่ดี และหลายๆ ร้านมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่เคยทำได้ก่อนช่วงที่โรคโควิด 19 ระบาดด้วยซ้ำ เป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาและมีแผนที่จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระจายสาขาและช่องทางจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้นของ Bake Cheese Tart, Zaku Zaku และ Rapl การจัดโปรโมชั่นและพัฒนาเมนูให้ตอบโจทก์ลูกค้ามากยิ่งขึ้นของ Kagonoya และการรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีเยี่ยมของ Le Boeuf, Creps & Co สำหรับการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ"Domino’s Pizza" จะเป็นการเสริมทัพความแข็งแกร่งของธุรกิจอาหารของกลุ่ม W อีกด้วย