DELTA คาดปีนี้กำไรสูงกว่าปีก่อนแม้รายได้จะทรงตัว,ขยายฐานไปอินเดียเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 18, 2007 15:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)หรือ DELTA ระบุไม่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็งค่าเหตุได้ทำประกันความเสี่ยงไว้ครบหมดแล้ว ขณะเดียวกันเข้าลงทุนในอินเดียหวังใช้เป็นฐานการผลิตเพิ่มที่เป็นแหล่งมีศักยภาพสูงสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์  คาดโรงงานแห่งแรกจะเริ่มทำการผลิตได้ต้นปี 51 และเตรียมเพิ่มโรงงานอีกแห่งในอินเดีย ส่วนรายได้ปีนี้ตั้งเป้าใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์ แต่คาดกำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อนที่ 1.96 พันล้านบาท คาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ 16-17% โดยเน้นผลิตสินค้าเพาเวอร์ซัพพลาย
นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการผู้จัดการ DELTA เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากได้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้หมดแล้ว เพราะบริษัทส่งออกเกือบ 100% ส่วนวัตถุดิบ บริษัทก็ทำประกันความเสี่ยงไว้แล้วเช่นกัน
"เราไม่หากินกับเงินตราต่างประเทศ ระวังอยู่แล้วไม่กระทบอะไรมากมาย เรา hedge ไว้หมดแล้ว ในแง่วัตถุดิบไม่น่ามีปัญหาอะไร ไม่ว่าอย่างไงก็แล้วแต่ของเราก็จะคงที่ ผมไม่เล่นกับเงินบาท เรา hedging ไว้หมด เราป้องกัน เราไม่ค้าขายกับอัตราแลกเปลี่ยน เราขายสินค้า ไม่ว่าอย่างไรผมไม่ได้ไม่เสียงานนี้"นายอนุสรณ์กล่าว
**เล็งสร้างโรงงานใหม่เพิ่มในอินเดีย
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า จากการที่บริษัทเข้าไปขยายฐานการผลิตในอินเดียเห็นว่ายังเป็นตลาดที่เติบโตสูง จึงได้ลงทุนก่อสร้างโรงงาน 1 แห่งในรัฐ Uttraranchal เมือง Rudrapur ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียโดยขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างที่คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ และคาดจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 51 ซึ่งผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เพาเวอร์ซิสเต็มและเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS)
และบริษัทจะเพิ่มโรงงานอีก 1 แห่งในรัฐ Tamil Nadu เมือง Chennai ทางตอนใต้ของอินเดีย เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างโรงงานให้เช่าแก่บริษัทในกลุ่ม คาดว่าเร็วๆ นี้จะไปเจรจากับรัฐบาลอินเดียเรื่องสิทธิต่างๆ จากปัจจุบันที่บริษัทเช่าโรงงานชั่วคราวที่เดลีซึ่งอนาคตเมื่อโรงงานแห่งใหม่เสร็จก็จะย้ายไปรวมกัน
"ตลาดอินเดียกำลังโต อย่าไปมองถึงส่วนแบ่ง เพราะเราเป็นน้องใหม่ซึ่งกำลังโตขึ้นมา ถามว่าจะเทียบกับผู้ใหญ่ได้หรือไม่ ยังห่างไกล แต่อนาคตดี" นายอนุสรณ์ กล่าว
กรรมการผู้จัดการ DELTA กล่าวว่า งบในการสร้างโรงงานใหม่ในอินเดียมีเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ผลประกอบการในอินเดียได้มีกำไรแล้ว(ที่เป็นการเช่าโรงงาน) ที่เริ่มดำเนินการไปค่อนข้างจะเลี้ยงตัวเองได้ คงไม่ต้องเพิ่มอะไร ใช้กำไรจากตรงนั้นลงไปได้เลย ซึ่งปัจจุบันเป็นการเช่าโรงงานแต่ในอนาคตพอโรงงานของเราเสร็จก็จะเหลือโรงเดียวเป็นของเราเอง
**เน้นกำไรโต คาดปีนี้จะมากกว่าปีก่อน
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในปี 50 ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ประมาณ 1,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปี 49 ยอดขายอยู่ที่ 1,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทุกอย่างน่าจะเป็นไปตามเป้าไม่ได้ติดขัดอะไร
"ยอดขายปีนี้น่าจะสูสีกับปีที่แล้วเพราะเรามีการปรับโครงสร้างของยอดขายใหม่ โดยผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่ทำกำไรน้อยๆ เราตัดออกไป"
ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ power supply ที่ค่อนข้างทำกำไรดีทั้งหมดก็จะผลิตมากขึ้น แต่ถ้าพวกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มจอแสดงภาพ ซึ่งมีปัญหาไม่ค่อยดีเท่าที่ควรก็ชะลอยอดขายลงมา
นายอนุสรณ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาทุกปีบริษัทมีอัตราโตอยู่ประมาณ 15% กว่า แต่ปีนี้บริษัทไม่ได้ตั้งเป้าเติบโตของยอดขายเนื่องจากบริษัทเน้นเรื่องกำไรสุทธิ เพราะฉะนั้นยอดขายไม่ใช่เป็นตัวที่น่าดู แต่เราจะดูว่ากำไรน่าจะโตขึ้น ซึ่งตอนนี้เท่าที่ดูมากำไรก็จะโตขึ้นอย่างที่เราตั้งใจไว้ ต่างกับเรื่องยอดขาย
"กำไรปีนี้จะโตกว่าปีที่แล้ว จากปีที่แล้วกำไรประมาณ 1,900 ล้านบาท ส่วนจะมากกว่าแค่ไหน เท่าที่ดูแล้วทุกอย่างดีกว่า ทั้งผล Performance EPS/หุ้น ที่ออกมาคร่าวๆ ถ้าดูแล้วมันดีกว่าปีที่แล้ว อะไรต่างๆ เราเลยให้ความสนใจน้อยไปหน่อย ถ้าดูกำไรดีและไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนยอดขายเราก็เน้นแต่ก็เป็นรอง"นายอนุสรณ์กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อก่อนบริษัทจะรับออเดอร์ไว้หมดเลย แต่ตอนนี้จะพยายามดูก่อนว่ามีกำไรดีหรือไม่ ถ้ากำไรดีจึงค่อยรับออเดอร์ หรือดูว่าเสี่ยงหรือไม่
"DELTA มาถึงตรงจุดหนึ่งซึ่งเราค่อนข้างดีแล้ว เราก็จะลดอัตราการเสี่ยง เมื่อก่อนหมายถึงตัวยอดขายจะโต 15% แต่ปีนี้ผมไม่ได้เน้นยอดขายแล้ว ปีนี้ถึงยอดขายไม่โตก็ไม่สนใจเรามาดูว่ากำไรเราจะดีขึ้นหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าเปรียบเทียบกับทุกปีแล้ว ปีนี้ไม่น่าไปดูตรงยอดขายแต่ดูที่กำไรอย่างเดียว เพราะกำไรโต" นายอนุสรณ์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทเน้นผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ซัพพลายสำหรับคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายและ DCDC Converterเกือบทั้งหมดเนื่องจากให้กำไรขั้นต้นสูง ส่วนตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มจอแสดงภาพ (Video display)ก็น้อยลง จากเดิมยอดขายของ display ค่อนข้างสูงอยู่ประมาณ 30-40% ตอนนี้ลดลงมาเหลือประมาณ 5% ฉะนั้น จึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คาดว่าจะไม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่มีอัตราเฉลี่ยอยู่ประมาณ 16-17%
นายอนุสรณ์ เห็นว่า การที่บริษัทลดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มจอภาพลง ลูกค้าคงไม่ค่อยมีปัญหาเพราะอย่างน้อยทางประเทศจีนก็มีการผลิตขึ้นมา เพราะฉะนั้นนโยบายบริษัทจะไม่แข่งขั้น เพราะสินค้าเหล่านั้นราคาถูก แต่หันไปเน้นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาร์จินดีมากกว่า
ในแง่ของกำลังการผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟก็ยังสูงบริษัทไม่ได้มีปัญหา ซึ่งได้เพิ่มโรงงานใหม่ในต่างประเทศขึ้นมา คือ โรงงานใหม่ที่ประเทศสโลวาเกียซึ่งเปิดดำเนินการตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ตอนนี้น่าจะรับรู้รายได้ทันที โดยผลประกอบการที่นั่นเท่าที่ดูออกมาก็ค่อนข้างจะพอใจ
ปัจจุบันบริษัท มีโรงงาน 14-15 แห่งในโลกใช้เป็นฐานการผลิต
**คาดกำไรใน Q2/50 เป็นไปตามเป้า
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/50 นายอนุสรณ์กล่าวว่า เท่าที่ดูน่าพอใจ จากไตรมาส 1 /50 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 808.69 ล้านบาท ตอนนี้ไม่มีเหตุการณ์หวือหวา บริษัทในเครือก็ไม่ได้เป็นตัวถ่วงแล้ว เราก็กำลังไปข้างหน้า ตอนนี้โบรกเกอร์ก็เชียร์ ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คาด
"ผลประกอบการไตรมาส 2/50 เราไปของเราได้เรื่อยๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าดี ไม่ได้เกิดปัญหาอะไร ครึ่งปีหลังเราก็โตขึ้นตามอัตภาพไม่มีปัจจัยอะไรที่ทำให้หวือหวา" นายอนุสรณณ์กล่าว
ปัจจุบันกลุ่มบริษัท DELTA ครองส่วนแบ่งตลาดยู่ประมาณกว่า 30% ของโลก โดยกลุ่มบริษัทการผลิตและจัดจำหน่าย การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ซัพพลาย เพาเวอร์ซิสเต็มส์ ผลิตภัณฑ์จอแสดงภาพ (ทีวีแอลซีดี)และชิ้นส่วนอีเลคโทรนิคส์ต่างๆ ได้แก่ แมกเนติคส์ (Magnetic) อีเอ็มไอ ฟิวเตอร์ (EMI filter) และพัดลมระบายอากาศ (DC fan)
**ปีนี้จ่ายปันผลได้แน่ตามเงินสดที่มีอยู่มาก
นายอนุสรณ์ คาดว่า ปีนี้บริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามนโยบายเดิม โดยการจ่ายเงินปันผลจะดู cash on hand ที่เหลืออยู่ ซึ่งขณะนี้บริษทมีอยู่จำนวนมาก ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท (cash on hand ณ สิ้นไตรมาส 1/50)
"ถ้าเราเงินสดมีเยอะเราก็ปันเยอะซึ่งตอนนี้ cash เราค่อนข้างมีเยอะประมาณ ตามหลักถ้ามีกำไรมีเงินสดอยู่มากถ้าไม่ทำอะไรก็คืนผู้ถือหุ้น" นายอนุสรณณ์กล่าว
ทั้งนี้ นโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30%ของกำไรสุทธิ โดยปี 49 บริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ