บลจ.ไทยพาณิชย์ ออกกอง SCBWIP กระจายลงทุนสินทรัพย์แปลกใหม่ ขาย 21-31 ก.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 20, 2020 12:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทออกกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ World Integrated Portfolio (SCB World Integrated Portfolio : SCBWIP) มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ซึ่งกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งในตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุน Private Assets โดยกองทุนเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลาง และต้องการกระจายความเสี่ยงในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ที่มีความแปลกใหม่จากเดิม เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่นักลงทุนและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยจะเริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 21-31 กรกฎาคม 2563 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 50,000 บาท

สำหรับกองทุนนี้เป็นกองทุนผสมมีนโยบายกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ โดยเบื้องต้นได้กระจายการลงทุนแบ่งเป็น 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ตราสารหนี้ในประเทศ ประมาณ 15-35% ลงทุนในกองทุนจดทะเบียนในประเทศไทยที่ลงทุนในตราสารหนี้ในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศรวมแล้วไม่เกิน 20%

ส่วนที่ 2 ตราสารหนี้ต่างประเทศ ประมาณ 50-70% ลงทุนใน กองทุน ETF หุ้นกู้เอกชนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และกองทุนหุ้นกู้เอกชนทั่วโลกที่ได้รับการจัดอันดับ Investment Grade ขึ้นไป และลงทุนในกองทุนตราสารหนี้กลยุทธ์ Long-Short ที่กระจายการลงทุนในตราสารหลากหลายประเภท จากหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยไม่ยึดติดกับสัดส่วนของดัชนีอ้างอิงเพื่อสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด

ส่วนที่ 3 ประมาณ 15-35% ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น SCBPIN และส่วนที่ 4 ไม่เกิน 15% ลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ Private Assets ทั่วโลก เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการเข้าถึงตราสารคุณภาพดีที่อยู่นอกตลาด รวมถึงเป็นการกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุน เนื่องจากมีความสัมพันธ์ต่ำกับตลาดการลงทุนโดยรวม

กองทุนจะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ 0-100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนและตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ โดยมี net exposure ในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศที่มีลักษณะดังกล่าวเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และอาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน

"จุดเด่นของกองทุน SCBWIP คือ กองทุนมีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้แบบ Unconstrained เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างไม่มีข้อจำกัด พร้อมทั้งมีการคัดกรองหลักทรัพย์คุณภาพดีภายใต้การบริหารความเสี่ยง ควบคุมความผันผวนของพอร์ตให้อยู่ในกรอบที่กำหนด และด้วยกลยุทธ์การลงทุน Long-Short จะเป็นตัวช่วยอย่างดีในการกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด อีกทั้งกองทุนมีการลงทุนใน Private Assets ซึ่งจากข้อมูลตามประวัติศาสตร์ตลาดนี้มีความสัมพันธ์กับตลาดการลงทุนต่ำมักจะฟื้นตัวเร็วกว่าตลาดหุ้นโลก จึงทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวอย่างมีเสถียรภาพในทุกสภาวะตลาดได้เป็นอย่างดี"นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมในตราสารหนี้มองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และปรับลดประมาณการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไทยปีนี้ จาก -5.3% เป็น -8.1% พร้อมทั้งได้ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายรวม 75bps เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะกลางปรับตัวลดลง ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะยาวยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงและปรับเพิ่มขึ้นจากต้นปี เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลในสภาพคล่องที่จำกัดและปริมาณพันธบัตรออกใหม่เพื่อสนับสนุนการกู้เงินของรัฐบาล ในส่วนหุ้นกู้ภาคเอกชน spread ก็ได้เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

อย่างไรก็ดี มาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐและ ธปท. ได้มีส่วนช่วยผลักดันให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลงได้ รวมถึงการออกมาตรการทางการเงินและการคลังขนาดใหญ่และในรูปแบบที่ไม่ปกติ (unconventional measures) ของรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจชดเชยรายได้ที่หายไปรวมถึงรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน

ในส่วนของตลาด Private Assets มองว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจในอดีต ตลาด MSCI World Index ปรับตัวลง -47% ในปี 2543-2546 และ -49% ในปี 2550-2552 ระหว่างที่ตลาด Private Equity ปรับตัวลงเพียง -35% และ -27% (ที่มา: SCBAM, Hamilton Lane ข้อมูล ณ 31 มี.ค. 2563) นอกจากนี้ ตลาด MSCI World ยังใช้เวลาฟื้นตัวกลับมาที่จุดสูงสุดก่อนวิกฤติเศรษฐกิจได้ช้ากว่ามาก โดยใช้เวลามากกว่า 6 ปีของทั้ง 2 เหตุการณ์ ระหว่างที่ตลาด Private Equity ใช้เวลา 5 ปีในรอบแรก และ 3 ปีในรอบถัดมา

ถึงทิศทางที่หลาย ๆ ภูมิภาคเริ่มเปิดประเทศหลังจากการควบคุมการระบาดโควิด-19 เริ่มเห็นผลจากยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่ลดลง ทำให้ตลาด Private Assets เริ่มมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นจากเมื่อไตรมาส 1 ที่จำนวน transaction ลดลง ถึงแม้ว่าการระบาดโควิด-19 ที่ตามมาด้วยวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้จะมีผลกระทบด้านลบในวงกว้าง แต่นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจจากทางรัฐบาลและการบริหารพอร์ตที่ถือครองสินทรัพย์ที่มีการกระจายความเสี่ยงและสินทรัพย์ที่มี leverage อย่างจำกัด รวมถึงการถือเงินสดในอัตราส่วนที่สูงกว่าช่วงเวลาปกติ จะทำให้สามารถลดผลกระทบด้านลบให้เพลาลงกว่าผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในรอบก่อน ๆ ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ