นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายรายได้รวมปี 63 ลงมากกว่า 50% มาที่ 9,000 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะเติบโตแตะ 2 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่พักอาศัย เกือบ 5,000 ล้านบาท ส่วนเหลือมาจากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน
ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบกับธุรกิจโรงแรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้ส่งผลกระทบราว 50-80% จากการปิดให้บริการโรงแรมทุกแห่งชั่วคราวในเครือ S ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมในช่วง 5 เดือนแรกของปี 63 นักท่องเที่ยวภายในประเทศไทย และในเกาะมัลดีฟส์ลดลงกว่า 60% จึงส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) ลดลง
ส่วนธุรกิจที่พักอาศัย ในแง่ของยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ได้รับผลกระทบราว 10–15% จากการเปิดโครงการใหม่ต้องชะลอออกไป และขยายระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า
ขณะที่ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าทั้งอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า ถือว่าได้รับผลกระทบน้อยที่สุดหากเทียบกับสองธุรกิจข้างต้น โดยได้รับผลกระทบราว 5-10% จากการปรับลดค่าเช่าเพื่อช่วยเหลือลูกค้า อย่างไรก็ตาม การใช้พื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าในปัจจุบันยังคงมีอัตราการเช่าเป็นปกติ
นายนริศ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทคาดว่าทุกธุรกิจจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีการปรับแผนการดำเนินงานใหม่ ได้แก่ ธุรกิจที่พักอาศัย ปรับลดแผนการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะแนวราบเหลือ 3-4 โครงการ จากเดิมวางแผนไว้ปีละ 5-7 โครงการ
อย่างไรก็ตาม โครงการ THE ESSE Sukhumvit 36 มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาส 3/63 ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วราว 65-70% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ช่วงที่เหลือของปีนี้จะสามารถส่งมอบโครการดังกล่าวได้ประมาณ 40% รวมถึงยังมีโครงการอื่นๆ ที่ส่งมอบต่อเนื่อง
ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าทั้งอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงและลงทุนในอาคารสำนักงานและโรงแรม เพื่อตอบโจทย์ New Normal และธุรกิจโรงแรมในครึ่งปีหลังนี้ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้าจะเน้นการกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศ และนักท่องเที่ยวจากประเทศในกลุ่มภูมิภาคเดียวกัน (Inter region )
นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำการเป็น Global Holding Company ตามแผนที่วางไว้ บริษัทก็เตรียมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) ขนาด 5 เมกะวัตต์ (MW) ในเกาะมัลดีฟส์ ในลักษณะร่วมลงทุน (JV) คาดจะสามารถเริ่มลงทุนได้ในช่วงไตรมาส 4/63
นายนริศ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการดำเนินงาน 5 ปี (63-67) ด้วยการศึกษาและพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจมีการปรับลดเป้าหมายรายได้รวม ซึ่งจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทให้พิจารณาเบื้องต้นคาดจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายปี 63 แต่ในส่วนของแผนลงทุนน่าจะยังคงไว้ตามเดิมที่ได้ตั้งงบลงทุนราว 6.8 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะใช้เปิดตัวโครงการใหม่ 30 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 37,500 ล้านบาท ภายใต้แผนงานเปิดตัวปีละ 5-7 โครงการต่อปี เน้นพัฒนาโครงการแนวราบและจะขยายไปทุกระดับราคา
นอกจากนั้น จะใช้ลงทุนในอาคารสำนักงาน จำนวน 4 โครงการ ตั้งงบลงทุนรวมที่ 8,500 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่เช่าเป็น 300,000 ตารางเมตร และใช้ลงทุนในธุรกิจโรงแรม จำนวน 22,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มจำนวนโรงแรมเป็น 80 โรงแรม จากปัจจุบันมี 39 โรงแรม ขณะที่ปี 63 จะใช้งบลงทุนจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดินและใช้ในธุรกิจของบริษัทฯ
บริษัทยืนยันว่าขณะนี้ยังมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอ และมีฐานนะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันบมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 6 พันล้านบาท และสามารถขยายการลงทุนได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net interest bearing debt to equity ratio) อยู่ที่ 0.86 เท่า ซึ่งบริษัทตั้งเป้าไว้ไม่ให้เกิน 1.5 เท่า
ส่วน บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) มีเงินที่เหลือจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ประมาณ 3,000 ล้านบาท และยังมีความสามารถระดมเงินทุนได้อีก 1.5-2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน(Net interest bearing debt to equity ratio) ต่ำกว่า 0.5 เท่า