นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกเพราะตลาดปิโตรเคมีเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 3/63 หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายทำให้มีการเปิดเมืองมากขึ้นส่งผลดีต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวสูงชึ้นส่งผลให้ส่วนต่างราคาเพิ่มขึ้น และมีกำลังการผลิตใหม่จากโครงการ PO/Polyol และ ORP รวม 1.1 ล้านตันในไตรมาส 4/63 สนับสนุนกำไรในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะรายงานงบการเงินในไตรมาส 2/63 พลิกมีกำไรจากไตรมาส 1/63 โดยประมาณการกำไรสุทธิ 1.4-1.69 พันล้านบาท เนื่องจากขาดทุน Stock ลดลง และส่วนต่างราคาเริ่มฟื้นตามราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น
อีกทั้งการเลื่อนการตัดสินใจการลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในสหรัฐในปี 64 หลังจาก Daelim Chemical ถอนตัวการลงทุน ทำให้นักลงทุนคลายกังวล เพราะโครงการนี้ใช้เงินลงทุนสูงและทำการตลาดยาก
พักเที่ยงราคาหุ้น PTTGC อยู่ที่ 49.50 บาท ลดลง 0.50 บาท (-1.00%) ขณะที่ SET -0.12%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ยูโอบี เคย์เฮียน เก็งกำไร 60.00 เอเชียเวลท์ ซื้อ 58.00 หยวนต้า ซื้อ 56.00 กสิกรไทย ซื้อ 55.25 บัวหลวง ซื้อ 55.00 เคจีไอ Neutral 51.00 กรุงศรี ซื้อ 50.00
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น PTTGC โดยปรับราคาเป้าหมายปี 64 ขึ้นเป็น 58 บาท จากปีนี้ 52 บาท ปัจจัยบวกมาจากคาดการณ์ว่าธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 63 ดีกว่าครึ่งปีแรก จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ฟื้นตัว โดยในไตรมาส 3/63 QTD ราคา HDPE อยู่ที่ 890 เหรียญสหรัฐ/ต่อตัน เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาส 1/63 (QoQ) LLDPE เพิ่มขึ้น 16% QoQ และ LDPE เพิ่มขึ้น 9.5% QoQ
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อประมาณการผลประกอบการปีนี้ยังคงมีอยู่จากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นที่ล่าช้ากว่าคาด และความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19
ไตรมาส 2/63 คาดว่า PTTGC จะมีกำไร 1,685 ล้านบาท พลิกจากไตรมาส 1/63 ที่มีผลขาดทุน 8,780 ล้านบาท เพราะรับรู้ Stock Loss ลดลงจากไตรมาส 1/63 รับผลขาดทุน Stock มากถึง 8.9 พันล้านบาท โดยธุรกิจการกลั่นคาดว่าจะมีค่าการกลั่น (Market GRM) อยู่ที่ 2.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 26% QoQ แม้ค่าการกลั่น (Dubai crack spread) จะลดลงในทุกผลิตภัณฑ์หลัก แต่ PTTGC ได้รับประโยชน์ไม่มากจาก Crude Premium ที่ลดลงเหมือนโรงกลั่นอื่น เพราะไม่มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง ส่วนกำลังการกลั่นปรับลดลงเหลือ 102% ตามความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ลดลง
ด้านธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดว่า Market P2F จะอยู่ที่ 170 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 4%QoQ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากส่วนต่างราคาพาราไซลีนในไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 273 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 6.6% QoQ รวมทั้งการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาในกลุ่มผลิตภัณฑ์ By-product เพียงพอชดเชยส่วนต่างราคาเบนซีนที่ 148 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลง 9.8% QoQ
นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่โครงการ Ethane Cracker (Ohio) ในสหรัฐเลื่อนการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี หลัง Daelim Chemical USA ถอนตัวจากการร่วมทุนในโครงการนี้ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้น PTTGC ถูกกดดันจากโครงการดังกล่าว เพราะใช้เงินลงทุนสูงและโอกาสทำการตลาดยาก จึงเห็นได้ว่าเมื่อมีข่าวโครงการเลื่อนการลงทุนออกไปทำให้ราคาหุ้น PTTGC ขยับขึ้น
นักวิเคราะห์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดในไตรมาส 2/63 จะมีกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาท พลิกจากขาดทุน 8.8 พันล้านบาทในไตรมาส 1/63 สอดคล้องกับทิศทางกลุ่มปลายน้ำที่ไตรมาส 2/63 ดีกว่าไตรมาส 1/63 (QoQ) แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 2/62 (YoY) ยังเห็นการหดตัวอยู่
ในไตรมาส 3/63 คาดผลการดำเนินงานยังเติบโตอ่อนๆ ดีกว่าคู่แข่ง โดยมีต้นทุนน้ำมันไม่สูงขึ้นมาก เพราะมี Crude premium น้อยกว่าคู่แข่ง เนื่องจากบริษัทไม่ได้ใช้น้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง ขณะที่ PTTGC เป็นปิโตรเคมีที่เป็น Gas Base จึงได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับขึ้น โดยใน 3 ไตรมาสปีนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ย 42 เหรียญ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 22% QoQ
นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/63 จะมีกำลังการผลิตใหม่ โดยเป็นโครงการ PO/Polyol และ ORP รวม 1.1 ล้านตัน หริอเพิ่มขึ้น 10% ของกำลังการผลิตรวม หนุนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
นักวิเคราะห์สรุปปัจจัยการลงทุน PTTGC ว่ามีโมเมมตัมกำไรดีขึ้นในครึ่งหลังปีนี้ถึงปี 64 จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและกำลังการผลิตใหม่ , Balance Sheet แข็งแรง อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ค่อนข้างต่ำ 0.5 เท่า, กระแสเงินสดยังดี ไม่มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในระยะสั้น น่าจะทำให้บริษัทจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง และ Valuation หุ้นยังไม่แพง มี P/BV 0.8 เท่า
สำหรับบริษัท Daelim Industrial ถอนตัวโครงกำรปิโตรคอมเพล็กซ์ ช่วยลดความกังวล CAPEX 1-2 ปีข้างหน้า โดยบริษัท Daelim Industrial เป็นผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างและผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็น 1 ในพันธมิตรของ PTTGC ในโครงการ Petrocomplex ในรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐฯ สัดส่วน 50:50 ได้ประกาศถอนตัวจากการลงทุนเมื่อสัปดาห์ก่อน
โครงการ Petrocomplex เป็นการผลิต Ethylene 1.5 ล้านตัน/ปี และ HDPE 1.5 ล้านตัน/ปี ด้วยวัตถุดิบจาก Shale gas เดิมมีแผนจะตัดสินใจลงทุนภายในปี 2564 PTTGC ระบุว่าเตรียมเจรจาหาพันธมิตรร่วมทุนรายใหม่เพื่อเดินหน้าโครงการต่อไป ช่วยลดความกังวลด้านการ Write-off ค่าใช้จ่ายการศึกษาโครงการ (คาดราว 130 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ส่วน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า อุปสงค์ปิโตรเคมีฟื้นตัวหนุนส่วนต่างราคาในไตรมาส 3/63 หลังจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสืบเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่ออุปสงค์ปิโตรเคมีอย่างมากในเดือน เม.ย. แต่อุปสงค์เริ่มฟื้นตัวในเดือน พ.ค. ทั้งนี้ อุปสงค์ที่ลดลงมิได้ลดในผลิตภัณฑ์ทุกประเภท เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 หนุนอุปสงค์ปิโตรเคมีบางประเภทที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งความต้องการนี้จะยังแข็งแกร่งต่อเนื่องในยุคที่มีการระบาดของ โควิด-19
นอกจากนั้น บล.บัวหลวง คาดว่าอุปสงค์ปิโตรเคมีที่ใช้ในการผลิตสินค้าคงทนต่างๆ จะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 3/63 เป็นต้นไป สอดคล้องกับการผ่อนคลายการปิดเมืองทั่วโลก ซึ่ง PTTGC เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบรายใหญ่ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ทำให้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น คาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ ในไตรมาส 3/63 อีกทั้งการคลายการปิดเมืองทั่วโลกคาดว่าจะหนุนอุปสงค์ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและค่าการกลั่นให้สูงขึ้นในไตรมาส 3/63 จึงคาดว่ากำไรหลักในไตรมาส 3/63 จะเติบโต QoQ
ในแง่ของ YoY คาดว่ากาไรหลักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหนุนโดยส่วนต่างราคาปิโตรเคมี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอเลฟินส์ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาอยู่ในระดับสูงเมื่อไตรมาส 3/62) เราได้สะท้อนคาดการณ์กำไรไตรมาส 2-4/63 และรายการพิเศษในช่วงครึ่งแรกของปี 63 เข้าไปในประมาณการของเรา ดังนั้น จึงปรับประมาณการปี 63 เป็นขาดทุนสุทธิที่ 4,081 ล้านบาท (จากกำไรสุทธิ 8,462 ล้านบาท) และปรับลดคาดการณ์กำไรหลักลง 43% มาอยู่ที่ 4,860 ล้านบาท และปรับระยะเวลาการลงทุนเป็น ณ สิ้นปี 64 ด้วยราคาเป้าหมาย 55 บาท ตามวิธี DCF
สำหรับผลประกอบการใตรมาส 2/63 คาดจะมีกำไรสุทธิ 1,442 ล้านบาท ลดลง 35% YoY แต่พลิกกลับมาจากไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุน จากอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์สูงขึ้น ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีขยายตัว และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมสูงขึ้นด้วย