นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.บัวหลวง มั่นใจว่า มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 63 จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 5% หรือแตะ 9.55 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่มี AUM อยู่ที่ 9.10 แสนล้านบาท โดยมีมูลค่ากองทุนรวม (Mutual Fund) อยู่ที่ 5.72 แสนล้านบาท, กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 2.24 แสนล้านบาท, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 9.40 หมื่นล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล 1.90 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
ณ สิ้นไตรมาส 2/63 AUM อยู่ที่กว่า 8 แสนล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปี 63 เบื้องต้นบริษัทเตรียมออกกองทุนใหม่มาเสนอขายอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุน B-MAPS ที่คาดว่าจากออก IPO ในช่วงเดือน ก.ย. และอีก 1 ผลิตภัณฑ์ คือ Chin A Share RMF คาดว่าจะสามารถออก IPO ได้ภายในช่วงเดือน ต.ค.
นายสันติ มองว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหละงยังมีความน่าสนใจ โดยมีปัจจัยหลักจากความคาดหวังที่มีต่อความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงกลางปี 64 เป็นต้นไป หากว่าโลกจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ใช้ทั่วไป มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะถูกปรับขึ้นแต่จะเป็นการปรับตัวขึ้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อที่จะทำให้มีอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในช่วงครึ่งหลังปี 63 นี้จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0.5% ทำให้มองว่าตราสารทุนยังดูมีความน่าสนใจ เนื่องจากการลงทุนในตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำกว่า ขณะที่ในระยะยาวอาจต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละประเทศว่าจะแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดีธนาคารกลางทั่วโลกต่างก็ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบรวมถึงรัฐบาลต่างๆ มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาขนาดใหญ่ เพื่อให้ความมั่นใจในการฟื้นฟูและเยียวยาระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นอีกแรงหนุนทำให้ตลาดการลงทุนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ส่วนของค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลังนี้ มองว่าจะทรงตัวอยู่ในกรอบ 31.0 - 32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 64 จะฟื้นตัวขึ้นแบบ V Shape แต่เศรษฐกิจอาจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่และคงไม่ดีดตัวกลับมาดีเท่าปี 62 ได้ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเพราะเป็นความเสี่ยงของการเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซ้ำ ดังนั้น จึงประเมินว่า P/E ตลาดหุ้นไทยปี 64 จะอยู่ที่ 16 เท่า
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ในระยะสั้นเกือบทุกกลุ่มล้วนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจรูปแบบดั้งเดิม ไม่ได้มีกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากช่วงโควิด-19 เหมือนเช่นในต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ตลาดได้มีการรับรู้ผลกระทบดังกว่าไปแล้ว 6 เดือน ถึง 1 ปีข้างหน้า ดังนั้น การลงทุนจากนี้คงต้องมองระยะยาวในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของสังคมเมืองที่มีความน่าสนใจ เช่น กลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล และพลังงานไฟฟ้า เพราะกลุ่มเหล่านี้มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่
การจัดพอร์ตลงทุนควรกระจายการลงทุนให้มีความเหมาะสมความเสี่ยงที่รับได้ หากเดิมมีสินทรัพย์เสี่ยงอยู้น้อยเกินไปก็ควรเพิ่มสัดส่วนนี้ ขณะเดียวกันให้กระจายการลงทุนไปหลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก เช่นกองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน และทองคำ เป็นต้น
นายสันติ กล่าวถึง วิสัยทัศน์ในฐานะ CIO กองทุนบัวหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในช่วงที่ประเทศไทยเริ่มมีการล็อกดาวน์ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะถึงแม้ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด หลายคนต้องหยุดงานหรือทำงานจากที่บ้าน แต่ตลาดการลงทุนโลกไม่ได้หยุดนิ่งไปด้วย โดยช่วงแรกตลาดการลงทุนปรับตัวลงมาค่อนข้างแรง และจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นเร็วและแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ในฐานะ CIO กองทุนบัวหลวง พร้อมรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยยึดมั่นปรัชญาการลงทุน เน้นแสวงหาผลตอบแทนในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอด้วยการลงทุนอย่างรอบคอบ ไม่เสี่ยงมากจนเกินควร
ส่วนกระบวนการลงทุน จะใช้หลักการเลือกตราสารลงทุนโดยมุ่งไปที่ปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีความชัดเจนของความสามารถในการทำกำไร และสามารถลงทุนได้ในระยะยาว พร้อมจับจังหวะการเข้าซื้อขายที่ดี เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่ดี หรือ Good Stock + Good Trade = Good Performance เช่นเดิม