บมจ.มัลติแบกซ์(MBAX)ผู้ผลิตถุงพลาสติกส่งออกทั้ง 100% เผยแทบไม่ได้รับผลกระทบจากบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้แต่กลับมีกำไร เพราะทำฟอร์เวิร์ดรายได้เงินตราต่างประเทศไว้ทั้งหมดตั้งแต่ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็มีแผนจะเตรียมมาตรการรับมือไว้ล่วงหน้าหากบาทยังแข็งค่าไม่หยุด พร้อมลดความเสี่ยงด้วยการหาตลาดในประเทศมารองรับในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า
สำหรับผลประกอบการปี 50 มั่นใจว่ายังทำได้ตามเป้า คือ รายได้และยอดขายโต 20% หลังครึ่งปีแรกทำได้ดีอย่างที่คาด และเชื่อว่าจะดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี โดยคาดว่าจะโตเฉลี่ยไตรมาสละ 20% เตรียมประชุมบอร์ด ส.ค.นี้แย้มอาจมีข่าวดีจ่ายปันผลระหว่างกาล
นายวรพจน์ ศรีมหาโชตะ ประธานกรรมการ MBAX เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าไม่มากนัก เนื่องจากทำฟอร์เวิร์ดไว้ตั้งแต่ตอนที่เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 34.90-35.00 บาท/ดอลลาร์
"ถึงตอนนี้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมาที่ 33.30 บาท/ดอลลาร์ แต่เรายังรับได้เพราะโชคดีเรายังมีที่ทำฟอร์เวิร์ดไว้ตอนเงินบาท 34.90-35 บาท/ดอลลาร์ ถ้าไม่มีตรงนั้นก็คงยิ้มไม่ออก คงอ่วม และแม้บาทจะแข็งค่าขึ้นมาตลอด แต่เราก็ไม่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเลย ตอนนี้กำไรยังกำไรอื้อเลย เพราะไตรมาสแรกก็กำไร 17 ล้าน ไตรมาส 2 ก็น่าจะกำไรอยู่เพราะเราขายฟอร์เวิร์ดอยู่ตลอด เพราะบาทแข็งอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรามีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเรื่อยมาตั้งแต่ปี 49"นายวรพจน์ กล่าว
ขณะนี้บริษัทมีออร์เดอร์ในมือที่จะทำรายได้เข้ามาประมาณ 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3 เดือนข้างหน้า หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดดังกล่าวได้ทำฟอร์เวิร์ดไว้แล้ว
นอกจากนั้น บริษัทยังได้ทยอยปรับราคามาเรื่อยๆโดยอัตโนมัติตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ได้มีการชี้แจงให้ลูกค้าทราบมาตลอดและส่วนใหญ่ก็เข้าใจ ซึ่งโดยภาพรวมตอนนี้เราก็ยังแบกรับภาระอยู่ประมาณ 20% ของราคาขาย
"คือถ้าบาทต่อดอลลาร์แข็งขึ้นมา 4 บาทเราสามารถปรับราคาได้ 1 บาท เพราะว่า 2 บาทจะไป Off Set กันที่ราคาเม็ดพลาสติก ส่วนอีก 2 บาทลูกค้ากับเราตกลงกันว่ารับไปคนละครึ่ง"นายวรพจน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเรียกประชุมคณะกรรมการในเร็ว ๆ นี้ เพื่อหาแนวทางรองรับหากเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง
เพราะการที่บริษัทมีฐานรายได้จากการส่งออกทั้ง 100% ถือว่ามีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมาก และยังเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นจึงมีแนวคิดจะหันมาทำตลาดในประเทศบ้างภายใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยจะคิดและผลิตสินค้าที่ยังไม่เคยมีขายในประเทศมาก่อน
ปัจจุบัน MBAX มีรายได้จากการผลิตและจำหน่ายถุงใส่อาหาร ถุงใส่ผักผลไม้ 63% และถุงใส่ขยะ 37% โดยสินค้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจะส่งไปขายต่างประเทศทั้งหมด ตลาดหลักอยู่ที่สหรัฐคิดเป็น 59% ที่เหลือเป็นตลาดยุโรปและอื่นๆ
*มั่นใจปีนี้ยังโต 20% ตามเป้า,เตรียมออกสินค้าใหม่ใน H2/50
นายวรพจน์ กล่าวถึงภาพรวมของ MBAX ในปีนี้ยังเชื่อว่าในด้านผลประกอบการจะทำรายได้และยอดขายได้เติบโตตามที่คาดไว้ทุกอย่าง คือ เติบโตเฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 20% และทั้งปีก็จะเติบโต 20% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นก็จะพยายามทำให้ได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 13-15%
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังมีแผนจะออกสินค้าใหม่เป็นถุงพลาสติกใส่อาหารรูปแบบใหม่ๆในตลาด ใช้เงินลงทุนไม่มากนักเพราะเป็นเพียงแค่ปรับปรุงไลน์การผลิตเพียงเล็กน้อย
นายวรพจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันโรงงานเพิ่งจะใช้กำลังผลิตไปเพียง 60% และปีหน้าเมื่อเพิ่มเป็น 70% แล้ว จึงจะเริ่มคิดวางแผนสำหรับปีต่อๆไป
บริษัทไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งเงินทุน เนื่องจากได้รับเครดิตไลน์จากสถาบันการเงินในระดับพันล้านบาท โดยปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) อยู่ที่ 1.9 ลดลงจาก 4.4 เมื่อช่วงก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากนำเงินที่ได้จากการขาย IPO ไปลดภาระหนี้ ที่เหลือนำมาเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ
"ตอนนี้สภาพคล่องเรื่องเงินทุนเราดีมาก สถาบันการเงินพร้อมจะให้เรากู้มาทำธุรกิจ"นายวรพจน์กล่าว
*เตรียมประชุมบอร์ด ส.ค.หารือจ่ายปันผลระหว่างกาลงวดปี 50
นายวรพจน์ กล่าวว่า บริษัทอาจจะพิจารณาเรื่องการจ่ายปันผลระหว่างกาลในงวดปี 50 หลังจากที่เพิ่งจ่ายปันผลของงวดปี 49 ไปเมื่อเดือน พ.ค.50 ในอัตรา 0.38 บาท/หุ้น โดยจะต้องรอหารือที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในช่วงเดือน ส.ค.นี้
"มีผู้ลงทุนหลายคนถามมาว่าทำไมไม่จ่ายปันผลระหว่างกาล เราก็โอเค อาจจะเอาเสนอบอร์ด ส่วนบอร์ดมีความเห็นอย่างไรก็ว่ากันอีกที"นายวรพจน์ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--