เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (25-29 พ.ค.) SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 3% จากสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้ดัชนีตลาดไทยตลอดทั้งเดือน พ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 3.2% โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มเกษตร เพิ่มขึ้นมากที่สุด 46.40% รองลงมาคือกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 16.00% และสุดท้าย คือกลุ่ม ธุรกิจการเงิน เพิ่มขึ้น 8.40%
ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือน พ.ค. สามารถไต่ระดับยืนเหนือ 1,300 จุดได้อย่างต่อเนื่อง ตามความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ หลังจากเมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ระยะที่ 3 รวมทั้งสิ้น 14 รายการ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. อาทิ ขยายเวลาเปิดห้างสรรพสินค้าไปจนถึงเวลา 21.00 น. ,เปิดให้บริการกิจการโรงภาพยนตร์ ฟิตเนส สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งแต่ละสถานประกอบการยังคงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขด้านสาธารณสุขที่รัฐบาลกำหนด
แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนจะกลับมาอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักได้ส่งสัญญาณเตือนให้ระมัดระวังแรงขายหุ้นในเดือน มิ.ย. เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากกว่าที่มูลค่าพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประมาณการ ทำให้ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงนี้มีความเปราะบาง และมีความเสี่ยงเผชิญกับภาวะ "Sell In June" ที่อาจกำลังจะเข้ามาเยือนในเร็วๆนี้
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักวิเคราะห์เฝ้าติดตามกันอย่างใกล้ชิดคือท่าทีแสดงออกทางการเมืองของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯว่าจะตอบโต้ประเทศจีนรุนแรงมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ประเทศจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง
เกาะติดกับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก พบว่าขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 6 ล้าน 1 แสนราย และมียอดผู้เสียชีวิตสะสมรวมกว่า 370,000 ราย
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19ในไทย รายงานโดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 31 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยสะสมรวมทั้งสิ้น 3,081 ราย ส่วนผู้ที่รักษาหายแล้วมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 2,963 ราย และมียอดผู้เสียชีวิตสะสมรวมจำนวน 57 ราย
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ประเมินภาพรวม SET INDEX รอบสัปดาห์มีโอกาสไต่ระดับกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1,350 จุด ขานรับปัจจัยบวกกรณีที่รัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเฟส 3 สอดคล้องกับแนวทางผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลอีกหลายประเทศทั่วโลกที่มาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนโยบายพิมพ์เงินเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของธนาคารกลางหลายประเทศ เป็นส่วนผลักดันปริมาณเงินในระบบเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เป็นปัจจัยสนับสนุนราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ ได้ย้ำเตือนนักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นมาเก็ตแคบไซส์กลางและไซส์เล็ก ที่ส่วนใหญ่กลับมา Outperform ตลาดอีกครั้ง เพราะหากนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในกรณีที่เศรษฐกิจไม่ได้พลิกฟื้นอย่างที่คาดหวัง นักลงทุนอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงผลขาดทุนจากการลงทุนในรอบนี้ได้เช่นกันครับ
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้ (1-5 มิ.ย.) ที่ระดับ 31.70-32.10 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 และการปลดล็อกเศรษฐกิจในประเทศระยะที่ 3
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิต-ภาคบริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค. รายจ่ายด้านการก่อสร้าง ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนเม.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป ดัชนี PMI ภาคการผลิต-ภาคบริการเดือนพ.ค. ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซน และอัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือน พ.ค. ด้วยเช่นกัน
https://youtu.be/Yo9DxsMHbUk